การแก้ไขความวิปริตของโลก
ธรรมะบรรยายของท่านพุทธทาส เรื่องการต่อต้านแก้ไขความวิปริตของโลก ซึ่งเปิดให้บรรดาสหายธรรมทั้งหลายสดับตรับฟังเมื่องานวันล้ออายุ
99
ปีพุทธทาส มีเนื้อหาเกี่ยวกับวิธีการเพื่อจะร่วมมือกันต่อต้านความวิปริต และแก้ไขความวิปริตของโลกให้หมดไป ซึ่งเป็นเรื่องที่มีขอบเขตกว้างขวางกว่าที่คนคนหนึ่งจะทำ
แต่ต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย
ท่านพุทธทาสได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างละเอียด ซึ่งจะขอสรุปเนื้อหาสาระที่สำคัญ
ดังนี้ วิธีการที่จะร่วมมือกันเพื่อจะต่อต้านความวิปริตให้หมดไปนั้น
ทำคนเดียวไม่ได้ ในชั้นแรกนั้นต้องอาศัยความเข้าใจซึ่งกันและกันของทุกฝ่าย เพราะแต่ละคนมีหน้าที่โดยธรรมที่จะต้องช่วยกันแก้ไข
ไม่ใช่หน้าที่อ้างตามกฎหมาย เพราะการช่วยกันแก้ความทุกข์ของผู้อื่นนั้น
เป็นการปฏิบัติธรรมะอยู่ในตัวเอง คือมันทำลายความเห็นแก่ตัว คนที่ไม่เอาใจใส่ปัญหาของผู้อื่น ก็เพราะเห็นแก่ตัว ถ้าทำความเข้าใจร่วมกันไม่ได้ว่าความวิปริตเลว ร้ายอย่างไร ความร่วมมือก็มีไม่ได้
ฉะนั้น เมื่อต้องการความร่วมมือก็ต้องทำความเข้าใจในเหตุผลที่ว่าต้องร่วมมือกัน ให้ถือเอาการช่วยผู้อื่นนั้นเป็นการปฏิบัติธรรม
ขั้นต่อไปถึงหมู่ชนที่เรียกกันว่า สังคม สังคมที่มีผลประโยชน์ หรืออุดมคติขัดกัน ก็รวมกันไม่ได้
แต่ถ้าอาศัยบารมีของศาสนาเรียกร้องความร่วมมือกัน ช่วยกันทำให้โลกคงอยู่
เป็นหน้าที่ของทุกคน
เมื่ออยู่ได้แล้วแต่ละคนหรือแต่ละพวก ก็แสวงหาประโยชน์ตามความประสงค์ของตนก็ได้
แต่อย่าให้โลกมันหมดไปเสีย ให้มีโลกเป็นพื้นฐานสำหรับยืนอยู่ เป็นที่อยู่อาศัยของคนในโลกสำหรับประกอบกิจกรรมไปตามความต้องการของตัว ถ้าทำความเข้าใจในระหว่างสังคมได้ในลักษณะนี้ก็พอจะร่วมมือกันได้
เมื่อหวังความสงบและสันติแล้ว วิธีที่จะจัดโลกนั้นมันต้องเป็นไปในทางของสันติ
เป็นไปในลักษณะที่ผู้อื่นพอจะรับได้ หรือกลืนลงคอได้ ไม่เอาแต่ตามใจตัวเอง
คนถ้าอวิชชาหรือโมหะครอบงำแล้ว ก็มุทะลุดุดัน ถือเอาแต่ตามทิฐิ
ถ้าไปเสพคบกับมันนาน มันเหนียวแน่นมันยากจะละได้
ในฐานะที่เป็นหน่วยหนึ่งของสังคมใดก็ตาม ควรพยายามให้สังคมนั้นทำอะไรเป็นไปอย่างที่เรียกว่าเป็นมนุษย์
อย่าให้เป็นยักษ์ มาร
ภูติผีปีศาจ เอาความเป็นมนุษย์เป็นพื้นฐานสำหรับทั้งหมด ไม่ควรเอาความเห็นที่แตกต่างมาเป็นสาเหตุสำหรับทำลายล้างกัน
แม้จะขัดกันบ้าง มันก็มีทางออกอย่างอื่น
ชนิดที่ไม่ต้องทำลายกัน
สำหรับโลกปัจจุบันยิ่งจะต้องเป็นอย่างนี้มากขึ้น
คืออยู่ร่วมกันโดยสันติได้ ทั้งที่อุดมคติหรือประโยชน์ไม่ตรงกัน ถือเสียว่า เคารพพระเจ้าแล้วก็ไม่รบราฆ่าฟันกัน
ต่างตั้งหน้าทำมาหากิน
หรือว่าหาผลประโยชน์ของตนตามที่ต้องการ โลกนี้ก็จะไม่วิปริตมาก จะไม่มีวิกฤตการณ์มาก
เหมือนกับว่าอยู่รวม ๆ กันแล้วก็ทำมาหากินต่างกัน มันจะดีเสียอีกที่จะไม่กระทบกระทั่งกัน
แต่ที่ไม่เป็นอย่างนั้นเพราะเห็นแก่ตัว จนก้าวก่ายเข้าไปในประโยชน์ของผู้อื่น
แย่งชิงประโยชน์ผู้อื่น
หรือลักล้วงประโยชน์ของเขาอย่างแยบคาย อย่างนี้เป็นการทำลายโลกมากกว่า ไม่ควรที่จะมีอยู่ในโลก
ศาสนาเป็นสิ่งที่แต่ละคนยึดมั่น
หรือถือเป็นหลัก อย่าใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ทางเศรษฐกิจ ซึ่งเคยมีมาแล้วในประวัติศาสตร์ การกระทำแบบนี้ไม่มีความเป็นศาสนาเหลืออยู่
ฉะนั้นควรทำความเข้าใจเสียใหม่ ให้ศาสนานั้นเป็นที่พึ่งของมนุษย์ด้วยกันทุกศาสนา
แม้ว่าจะมีคำสอนต่างกัน
ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นศัตรูกัน
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2548