เด็กไทยพันธุ์ใหม่ยิ่งเรียนยิ่งโง่

รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

นักวิชาการชี้เด็กไทยเข้ายุคลอกคราบ

ดยทีมข่าว INN News 27 เมษายน 2551 12:34:06 

 

“สมพงษ์ จิตระดับ” ชี้เด็กไทยเข้ายุค “ลอกคราบ” จากพื้นฐานเรื่องเพศ-ความรุนแรง-การเสพสื่อที่ใกล้ทุกคน กลายเป็นยุวอาชญากรและมีความรุนแรงมากขึ้น

รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะนักวิชาการด้านสังคม เปิดเผยในรายการวิทยุ “สังคมพิพากษ์” ถึงปัญหาเด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศและเด็กละเมิดทางเพศเด็กว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมีทั้งเรื่องเก่าและใหม่และบางเรื่องแรงขึ้น รวมความแล้วอยากเรียกเด็กกลุ่มนี้ว่าเด็กไทยยุค “ลอกคราบ” เพราะเคยมีงานวิจัยหลายชิ้น แล้วคาดการณ์ว่าต่อไปเด็กกลุ่มนี้จะเป็นเด็กไทยพันธุ์ใหม่และจะกลายเป็นยุวอาชญากร ใกล้เข้าสู่เป็นปัญหาและมีความรุนแรงขึ้นตามลำดับ แต่ไม่มีใครออกมาหามาตรการหรือแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ จนในที่สุดเด็กเหล่านี้เติบโตเป็นเยาวชนที่เต็มไปด้วย ความรุนแรง และมีเพศสัมพันธ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
“
ผมคิดว่าเด็กกลุ่มนี้คล้าย ๆ กับลอกคราบและโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่และเยาวชนที่มีพื้นฐานเรื่องเพศ ความรุนแรง และการเสพสื่อเข้ามาเกือบทุกคน ดังนั้น ในสังคมที่ไม่ได้คำนึงเรื่องคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรมต่าง ๆ ไปดูแต่เรื่องความสุข แสดงออก ความสนุกสนาน เลยสุกเต็มที่จากเด็กกลายเป็นเยาวชน และที่น่าตกใจมากคือสถานการณ์ทางเพศกินไปในกลุ่มเด็กที่มีอายุน้อยลงตามลำดับ แม้กระทั่งคนที่เป็นอาจารย์ยังทำในเรื่องพิลึก ๆ แสดงว่าต้นทุนทางสังคมขณะนี้กร่อนมาก ไม่มีใครพูดถึงวัฒนธรรมศีลธรรมอันดีแล้ว ผมเคยคาดการณ์ไว้ว่าถ้าสังคมยังเป็นแบบนี้คงถึงยุคสังคมตัวใครตัวมัน และตอนนี้ก็ใกล้เคียงแล้ว ไม่แน่ว่าถ้าปล่อยไว้อีก 10 ปีเราจะเข้ายุคตัวใครตัวมันอย่างแท้จริง” รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว

เด็กไทยพันธุ์ใหม่ยิ่งเรียนยิ่งโง่ แนะลดชั่วโมงเรียนลงแก้ปัญหา

           “สมพงษ์ จิตระดับ” ชี้เหตุเด็กไทยไอคิวต่ำลง เพราะระบบการศึกษาแบบยัดเยียด ทำให้”ยิ่งเรียนยิ่งโง่” แนะน่าจะลดจำนวนคาบเรียนในแต่ละวันให้น้อยลง ปล่อยให้เด็กมีเวลาได้สร้างจินตนาการ ไม่ต้องหันไปพึ่งยาเสพติดในการสร้างภาพหลอน ระบุ Child Centered ของจริงครูต้องเหนื่อย ( ครูต้องวิเคราะห์และเข้าใจจริตของเด็กแต่ละคนอย่างชัดเจน )  ไม่ใช้นักเรียนทำรายงานหามรุ่งหามค่ำ
            
วันนี้ (21 ม.ค.) รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ  อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวถึง “เทคนิคและกระบวนการสร้างการเรียนรู้ของเด็กไทยพันธุ์ใหม่ให้เท่าทันโลก” ในระหว่างการประชุมเชิงปฏิบัติการครูโรงเรียนอนุบาล จัดโดยสมาคมสร้างสรรค์ไทยหรือตาวิเศษว่า ระบบการศึกษาที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นแบบยัดเยียด ทำให้เด็กขาดจินตนาการ
          “
ถ้าบ้านเราเลิกระบบการเรียนจากวันละ 7 คาบเหลือ 4 คาบ เชื่อว่าเด็กก็จะฉลาดมากขึ้น เพราะจากสภาพที่เป็นอยู่ เราเรียนมากยิ่งโง่ลองไปดูต่างประเทศเรียนครึ่งวันก็เลิก ขณะที่บ้านเรามีเนื้อหาให้เรียนตั้ง 8 กลุ่มวิชา นอกจากเลิกเรียนเย็นแล้ว ตอนค่ำก็ยังต้องไปเรียนกวดวิชาอีก” นอกจากนี้ การเรียนการสอนแบบ Child Centered ( ที่ครูนำมาใช้ในการเรียนรู้ให้เด็กอยู่ในปัจจุบัน ) ก็ทำให้เด็กต้องเรียนมากขึ้นกว่าเดิม โดยอธิบายถึงเรื่องการบูรณาการว่า การเรียนการสอนแบบนี้จะทำให้ครูมีงานมากขึ้น แต่ไม่ใช่ปล่อยให้เด็กเอาวิชาต่างๆ มาบูรณาการเองและทำรายงานจนหามรุ่งหามค่ำ ครูต้องเปลี่ยนบทบาทหันมาดูความสนใจและความต้องการของเด็ก รวมทั้งปัญหาที่จะเกิดขึ้น แล้วนำข้อมูลที่ได้มาทำเป็นโครงการหรือกิจกรรม จะช่วยให้เด็กสนใจเรียน  อย่างไรก็ตาม ในการสร้างความต้องการเรียนรู้ของเด็กนั้น รศ.สมพงษ์  ระบุว่า ในระดับปฐมวัยหรืออนุบาลนั้นถือเป็นช่วงสำคัญ เพราะครูเปรียบเสมือพ่อแม่อีกคนหนึ่ง โดยสถานศึกษาหรือครูต้องมีปรัชญาทางการศึกษาที่ชัดเจน เช่น จะทำให้เด็กมีสัมมาคารวะ มีการสอนเรื่องศาสนามากขึ้น และที่สำคัญต้องสอนให้เด็กเห็นและเข้าใจคุณค่าของตัวเอง ที่ในขณะนี้ไม่มี รวมทั้งทำให้โรงเรียนเชื่อมโยงกับสังคมและสิ่งแวดล้อม ปล่อยให้เด็ก ๆ ได้สัมผัสกับธรรมชาติ  อาจารย์ครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวย้ำว่า ต้องสอนตั้งแต่ฐาน คือ ระดับอนุบาล และประถม ไม่สามารถทำได้ในม.ต้น เพราะไม่ทันแน่นอน จะถูกวัตถุนิยมกลืนหมด กลายเป็นเด็กไทยพันธุ์ใหม่ ครูอาจารย์ต้องคอยติดตามให้ดี อย่าบ่น เปลี่ยนจากการบ่นเป็นคุยดีกว่า บ่นคือการผลักเด็กทางอ้อม ถ้าคุยกับเด็กได้เมื่อไร ปัญหาต่าง ๆ ก็จะหายไป ถ้าปูพื้นดี เด็กจะอยู่กับเรา
            “
โดยเฉพาะเด็กอนุบาล เพราะชีวิตของเด็กคือเล่น ต้องมีการเคลื่อนไหว เด็กต้องมีจินตนาการ ที่ในปัจจุบันเด็กบ้านเราไม่มีจินตนาการ เพราะระบบการศึกษาของไทยเป็นหลักสูตรยัดเยียด ต้องท่องจำ ทำให้เด็กต้องหันไปพึ่งยาเสพติด เพื่อสร้างจินตนาการ เด็กในวัยนี้กำลังช่างถาม เปรียบเสมือนเป็นนักวิจัยรุ่นจิ๋ว อย่าปล่อยปละละเลย ต้องสนใจ ครูกับนักเรียนเรียนรู้ไปด้วยกัน”  อีกทั้งสภาวะเด็กไทยที่กำลังเผชิญอยู่ตามที่เคยมีงานวิจัยระบุไว้ว่า ส่วนใหญ่ไอคิวต่ำ เด็กฉลาดของประเทศมีอยู่แค่ 1-2 % เท่านั้น ร่างกายก็อ่อนแอ นับว่าเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ และในอนาคตจะมีคนเร่ร่อนอยู่ 3 ประเภทคือ 1.คนติดเอดส์ 2.ติดยาเสพติด และ 3.คนชรา เพราะเด็กจะไม่รู้เรื่องบาปบุญคุณโทษ มองตัวเองมากกว่าส่วนรวม มองความต้องการของตัวเองเป็นตัวตั้ง ทำงานหนักไม่เป็น
             
ในปี 2549 เด็กไทยจะเกิดความเครียดหนักขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า เมื่อมีการใช้ระบบการรับเข้าสถาบันอุดมศึกษาแบบ admission ขึ้น เพราะลำพังเพียงการนำจีพีเอ (คะแนนเกรดเฉลี่ยสะสม) และพีอาร์ (ค่าอันดับที่ร้อยละ) มาพิจารณาก็วุ่นวายขนาดนี้แล้ว หากนำปัจจัยอื่นๆ มาพิจารณารับเข้าอีกน่าจะมีปัญหามากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม รศ.สมพงษ์  ได้ชี้ให้เห็นว่า สภาพสังคมในปัจจุบันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เด็กไทยเข้าสู่ภาวะเสี่ยง ไมว่าจะเป็น วัตถุนิยมที่กลายเป็นสิ่งวัดคุณค่าทางสังคมซึ่งสั่งสมมากว่า 30 ปี แม้แต่ในตัวพ่อแม่เองก็ปลูกฝังลงไปแก่ลูก เช่น การให้รางวัลเมื่อสอบได้คะแนนดี เป็นต้น หรือปัญหายาเสพติด ซึ่งเริ่มเข้ามาระบาดหนักเมื่อ 7-8 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ การมีเพศเสรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กระดับมัธยมต้น ที่มีการเปลี่ยนคู่นอน และขายบริการทางเพศ ซึ่ง รศ.สมพงษ์  ระบุว่า “พวกเขาเรียนรู้เรื่องเพศได้ดีกว่าผู้ใหญ่อย่างพวกเราเสียอีก” ยังมีเรื่องความรุนแรงในพฤติกรรมและอารมณ์ไม่ว่าจะเป็นความเครียดที่ได้รับจากหลักสูตรการศึกษาหรือ แฝงมาจากสื่อต่างๆ และอินเทอร์เน็ต ซึ่งกลายเป็นช่องว่างสำคัญระหว่างเด็กยุคใหม่กับผู้ใหญ่ยุคเก่า
ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ


ขอนำบางส่วนของการบรรยาย เรื่อง “วิกฤตเยาวชนไทยในยุคปัจจุบัน” โดย ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาถ่ายทอดคับ
จากการศึกษาวิจัยของรองศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะ ถึงรูปแบบการใช้ชีวิตใหม่ของเยาวชนในยุคปัจจุบัน โดยระบุภาพลักษณ์ว่าเป็นเด็กพันธุ์ใหม่ ที่มีลักษณะขี้เหงา ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความอ่อนแอทางจิตใจ ขาดความสุข ขาดความยั้งคิด ต้องการความรวดเร็ว ตัดสินใจง่าย เพียงแต่คิดถึงความสุข ไม่ชอบเรียนหนังสือ ขี้เกียจ ชอบมั่วสุม ฯลฯ ถ้าทุกฝ่ายไม่หันมาช่วยกันดูแลจะทำให้อนาคตของประเทศชาติน่าเป็นห่วงมาก ฉะนั้นฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะผู้ปกครอง ตัวเด็กเอง และสถานศึกษาทุกระดับควรหันหน้ามาคุยกัน เพื่อร่วมกันหามาตรการที่เป็นไปได้ในการดำเนินการแก้ไข พัฒนาเด็กได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้เด็กที่เป็นอนาคตของชาติได้เป็นเด็กไทยพันธุ์ใหม่ที่มีคุณภาพ 
           นักวิชาการ ชี้ เด็กไทยวิกฤตหนัก อีก 10-15 ปี เหตุรากวัฒนธรรมกำลังเน่า ทั้งก้าวร้าว หมกมุ่นเรื่องเพศ ติดเกม  อยากทำศัลยกรรม เดินตามก้นเกาหลี ญี่ปุ่น ยิ่งเด็กนอกระบบการศึกษายิ่งแย่น่าห่วงสุด ไม่ได้เรียนหนังสือ อายุ 28  ก็กลายเป็นย่าคนได้ เสี่ยงพัฒนาเป็นยุวอาชญากร สูง
            
วันนี้ (23 ส.ค.) ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรยายเรื่อง “วิกฤตเยาวชนไทยในยุคปัจจุบัน”  ว่า สถานการณ์เด็กและเยาวชนไทยจะแย่ลงเรื่อยๆ ซึ่งในอีก 10-15 ปีข้างหน้า ปัญหาหนักจนถึงขั้นวิกฤตเนื่องจากเด็กในยุคปัจจุบัน ร้อยละ 90 มีคุณลักษณะ หรือคาแรกเตอร์ ก้าวร้าว หมกมุ่นเรื่องเพศ ติดเกม  ทำให้เด็กมีคุณภาพ คุณธรรม จริยธรรมลดลง ส่วนเด็กที่ศึกษาในระดับมัธยมมีการเปลี่ยนแปลงในทางแย่มากขึ้น  คือ เล่นกีฬา ช่วยงานบ้าน ไปเที่ยวกับครอบครัว และไปวัดน้อยลง ขณะที่เด็กเหล่านี้มีความต้องการที่จะเล่นอินเทอร์เน็ต  ดูเว็บโป๊ ทำศัลยกรรม เที่ยวกลางคืน เล่นหวย คุยโทรศัพท์ และติดเพื่อนเพิ่มมากขึ้น และเด็กไทยจะเป็นเด็กที่มีวัฒนธรรมหลากหลาย โดยเฉพาะวัฒนธรรม K-Pop คือวัฒนธรรมธรรมของนักร้อง ดารา เกาหลี ซึ่งวัยรุ่นเกาหลี ร้อยละ 30 ทำศัลยกรรมทั้งสิ้น และ J-Pop วัฒนธรรมดารา นักร้องญี่ปุ่น จึงทำให้กลืนความเป็นไทย  วัฒนธรรมดีๆ ของไทยลดน้อยลงเหลือประมาณ ร้อยละ 30 เท่านั้น คือ เหลือเพียงรู้จักการไหว้ พูดภาษาไทย และใช้เงินไทย เท่านั้น “รากของวัฒนธรรมไทยในเด็กกำลังจะเน่า เพราะเด็กไทยจะซึมซับเอาวัฒนธรรมจากต่างชาติเข้ามาผสม จนกลายเป็นวัฒนธรรมสากลไปจนหมด โดยเฉพาะปัญหาทางเพศ ที่เด็กไทยเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ก่อนวันอันควรหลายปี โดยเป็นเพราะในสังคมมีวัตถุทางเพศดาดเดื่อ ส่วนใหญ่มาจากการเล่นอินเทอร์เน็ต เข้าชมเว็บโป๊ คลิปวิดีโอ  หรือวีซีดีโป๊ต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เมื่อมีการเรียนรู้ ก็จะกระตุ้นให้เด็กทดลองด้วยตัวเอง คือ ไปมีเพศสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศ  สุดท้ายก็กลายเป็นปัญหาสังคมตามมา คือ ตั้งครรภ์ตั้งแต่ในวัยเรียน” รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว 

                   นายสมพงษ์ จิตระดับ  อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการสร้างคุณค่าและค่านิยมของเยาวชนไทยว่า งานวิจัยดังกล่าวได้พบว่ามีปัญหาเกี่ยวเนื่องตั้งแต่เรื่องยาเสพติด โดยมีลักษณะที่สลับซับซ้อนเกี่ยวพันกับความรุนแรงทางเพศ  ไคล้วัตถุ และมีค่านิยมฟุ่มเฟือยอย่างแยกไม่ออก ทั้งนี้ ในผลงานวิจัยเรื่องนี้ได้พบดัชนีบ่งชี้ และปัจจัยที่ทำให้เยาวชนไทยในอนาคตเสี่ยงต่อการเป็น "ยุวอาชญากร" ถึง 15-20% ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงมาก
นายสมพงษ์  ล่าวว่า ดัชนีบ่งชี้ดังกล่าวประกอบด้วย
1.อัตราการหย่าร้างของครอบครัวไทยสูงขึ้น 20% และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นเรื่อยๆ
2.อัตราของเด็กที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งมีเพิ่มขึ้นเท่าตัว จากวันละ 3-7 คน เป็น 7-8 คน
3.เด็กไทยไม่นิยมเข้าวัด หรือสนใจหลักธรรมต่างๆ โดย 50% ไม่เคยทำบุญตักบาตร และ 70% ไม่เคยฟังเทศน์ แต่นิยมเข้าร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดเฉลี่ยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง แต่ถ้าเป็นเด็กในเมืองจะเข้าร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดทุกวัน
4.เด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศเพิ่มขึ้น 70-100% ทำให้มูลนิธิคุ้มครองเด็กต้องขยายสถานที่สำหรับดูแลเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศไปที่ .สมุทรสงคราม
5.เด็กติดยาเสพติดประมาณ 2-3 ล้านคน และหายเมื่อได้รับการบำบัด 12-13% ส่วน 80% ที่เหลือกลับเข้าสู่วงจร และตั้งตนเป็นผู้ค้าระดับกลางเอง
6.จำนวนเด็กหญิงที่อยู่ในสถานพินิจต่างๆ เกือบ 100% เมื่อพ้นจากสถานพินิจแล้วกลับไปช่วยครอบครัวค้ายา และขายบริการทางเพศ เพราะไม่มีอาชีพรองรับ หรือมีอาชีพอื่นที่ดีกว่า
7.มีคนติดเหล้า และบุหรี่เพิ่มขึ้น ทุก 1 ใน 5 คนจะสูบบุหรี่ ส่วนนักศึกษาหญิงทุก 1 ใน 3 คนสูบบุหรี่ ส่วนนักศึกษาชาย 50% ดื่มเหล้า
8.พระสงฆ์หรือแม่ชี หันไปสนใจงานพิธีกรรมมากว่างานปฏิบัติธรรม จึงละเลยการสั่งสอน และสร้างเสริมคุณธรรมจริยธรรม และ
9.กระบวนการยุติธรรมยังไม่เปลี่ยนแปลง
"เวลานี้ตามเมืองใหญ่ๆ จะมีแก๊งวัยรุ่น อย่างที่ .เชียงใหม่ และลำปางจะมีแก๊งซามูไร .นนทบุรีมีแก๊งมอเตอร์ไซค์ซิ่ง ในจังหวัดภาคอีสานแทบทุกจังหวัดก็จะพบปัญหานักเรียนนักศึกษาขายตัว ที่สยามสแควร์ก็มีแก๊งวัยรุ่นที่เป็นเด็กโตรังแกเด็กเล็ก จับกลุ่มรีดมือถือ นาฬิกาแพงๆ และไถเงินตามห้องน้ำศูนย์การค้า ซึ่งลูกของอาจารย์จุฬาฯก็เคยโดน ส่วนใหญ่เป็นพวกตกขอบ เป็นลูกคนมีฐานะ แต่เรียนหนังสือหรือเข้ากับครอบครัวไม่ได้" นายสมพงษ์ กล่าว
นายสมพงษ์ กล่าวด้วยว่า กำลังทำวิจัยเกี่ยวกับคำพูดของพ่อแม่ที่ส่งผลด้านบวกหรือลบกับเด็ก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลของเด็กกลุ่มสุดท้าย อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นพบว่าคำพูดที่ส่งผลบวกกับเด็ก เช่น "ทำไม่ได้ไม่เป็นไร พยายามต่อไปนะ" และ "ทำดีที่สุดแล้ว" เป็นต้น

100 คำพูดดีๆ ที่พ่อแม่ควรพูด  
  
ในระยะนี้มีข่าวคราวที่เกี่ยวกับเยาวชนไม่เว้นแต่ละวัน และที่มีอยู่เสมอเป็นระยะคือข่าวนักเรียนนักเลง ที่ตีกันจนมีนักเรียนต้องมาเสียชีวิตไป 1 รายจากการทะเลาะวิวาทกันครั้งนี้ นอกนั้นก็ยังมีข่าวเด็กนักเรียนชั้น ป3-6 ทำการสัก เรียนแบบภาพยนต์ไทยเรื่องหนึ่ง  ผมไม่ทราบว่าสมัยนี้ สถาบันครอบครัว ซึ่งเสมือนสถาบันหลักของทุกคน ค่อนข้างอ่อนแอสวนทางกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี่ คนในครอบครัวได้พูดคุยกันมากน้อยเพียงไร? หรือที่พูดนั้นมีความจริงใจแค่ไหน อาจจะมีแต่เพียงคำโกหกหลอกลวงกันที่ได้ถูกนำมาพูดให้กันฟังหรือมีเพียงความเงียบและการหลบหน้ากันเพราะคนพูดไม่อยากจะพูดในขณะที่คนฟังก็ไม่อยากจะฟัง
 ผมอยากจะบอกว่าคนเราที่เรียกว่าเป็นสัตว์ชั้นสูงมีอารยธรรมก็ตรงที่มีภาษาพูด ภาษาเขียน แต่หากไม่ได้ใช้ภาษาไม่ว่าจะพูดหรือเขียนกันแล้วคนเราจะอยู่ด้วยกันด้วย ความเข้าใจกันได้อย่างไร? หรือหากพูดโดยใช้อารมณ์มากว่าเหตุผล การพูดก็ไรประโยชน์ และที่แย่กว่านั้นก็คือ คนพูดเอาแต่พูดแต่คนฟังไม่อยากจะฝังเพราะเบื่อที่จะฟัง หากเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในครอบครัวแล้ว อนาคตครอบครัวจะเป็นเช่นไร?
          ผมได้เคยได้อ่านบทความเรื่อง 100 คำพูดที่พ่อแม่ควรพูด และที่ลูกไม่อยากฟัง จึงอยากจะเอามาให้ได้อ่านกัน โดยหวังเพียงให้การพูดคุยกันในระหว่างครอบครัวได้เป็นไปด้วยดี เรียกว่าคนพูดรู้วิธีพูดคนฟังก็อยากจะฝัง อะไรๆก็คงจะดีขึ้นครับ  
       
งานวิจัยนี้เป็นของรศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ และคณะจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย งานศึกษาชิ้นนี้บอกทางออกสำหรับการแก้ปัญหา ของครอบครัวอย่างหนึ่ง ซึ่งยุคนี้พ่อแม่ลูกมักคุยกันไม่รู้เรื่อง ด้วยมีปัญหาในการ "สื่อสาร" ให้เข้าใจ มันกลายเป็นว่ามีช่องว่างของวัย และอคติของความรู้ และไม่รู้แฝงอยู่ ทำให้เด็กรุ่นนี้ไม่ค่อยเข้าใจหัวอกพ่อแม่ยุคปัจจุบัน และพ่อแม่ก็ไม่สามารถเข้าถึงความคิด ความรู้สึกของเด็กในยุคนี้ เรียกว่าไปด้วยกันไม่ได้ และผลที่ปรากฎออกมาพบว่า เด็ก เยาวชนที่มีปัญหานั้น ล้วนเป็นปัญหาสังคมที่มีแนวโน้มความเข้มข้นที่รุนแรงขึ้น
ดังนั้น เพื่อเป็นวิธีป้องกันปัญหาสังคมด้วยการสร้างสายสัมพันธ์อันดีให้ครอบครัวและสังคม ดร.สมพงษ์ จิตระดับ-พร้อมคณะ ก็ได้สำรวจความคิดเห็นของวัยรุ่นว่า เขาอยากฟังอะไรจากพ่อแม่บ้าง
100
คำพูดดีๆ ที่พ่อแม่ควรพูด 3 อันดับแรกสูงสุดที่เด็กๆ อยากได้ยิน เริ่มตั้งแต่?
1.
พูดด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ อ่อนหวานน่าฟัง
2.
พูดให้กำลังใจ, ไม่เป็นไรทำใหม่ได้ และ
3.
ให้คำปรึกษาหารือ เช่น ปรึกษาพ่อแม่ได้นะลูก ทำดีแล้วลูก ดีมากจ้ะ

นอกจากนั้นเป็นการแบ่งให้เห็นประเภทกลุ่มคำ
ความสัมพันธ์ในครอบครัว
ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น, ให้ความรัก, พ่อแม่ดีใจที่หนูเป็นลูก, ดูแลตัวเองดีๆนะ, มีอะไรให้แม่ช่วยไหม, จำไว้ว่าพ่อเป็นห่วง, รักและหวังดี

การให้กำลังใจชมเชย
พูดในสิ่งที่ดีกับตัวเรา, หนักแน่น มันจะช่วยให้เข้มแข็งในเวลาที่อ่อนแอ, พยายามเรียนอย่างเต็มที่, ไม่เป็นไรยินดีช่วยเสมอ, ลูกเล่นกีฬาเก่งมาก, ดูแลน้องให้ดี ไม่รังแกน้อง, สู้ต่อไป, จงทำดีเถิด, ค่อยเป็นค่อยไปทำดีที่สุด, ไม่ผิดหรอก, แก้ไขได้, ดีใจด้วย, เรียนเก่งๆนะ, ไม่ดีไม่เป็นไรเริ่มใหม่, อย่าท้อ, เราช่วยกันแก้ปัญหาได้, เวลาทำให้ทุกอย่างดีขึ้น, ทำสิ่งที่อยากทำก่อนถูกผิดไม่เป็นไร ลองทำก่อน, ทำอะไรก็ขอให้สำเร็จ, ลูกสาวพ่อไม่ใช่คนโง่ย่อมรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร, เก่งมากลูก, เก่งจริง, มีพรสวรรค์จริงๆ, คนเก่งไม่ต้องไปกลัว กลัวคนขยันเข้าไว้, แค่นี้ก็ดีแล้ว, คะแนนมากน้อยไม่สำคัญขอแค่อย่าตกก็พอแล้ว

การอบรมสั่งสอน
อย่าเพิ่งกลับนะมันดึกแล้ว, ไม่เป็นเด็กขโมย, ไม่ไปมั่วสุมยาเสพติด, บอกอะไรควรเชื่อฟัง, ไปไหนระวังตัวด้วยนะลูก, วันนี้รีบกลับนะ, ผิดเป็นครู, ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว, ช่วยทำงานเสร็จแล้วค่อยไปเล่น, พ่อและแม่ไม่อยากให้ลูกลำบาก ขยันเข้าไว้นะ, ที่พ่อแม่ทำโทษเพราะรักลูกนะ อยากทำให้คิด ไม่อยากทำให้โกรธ ไม่ใช่ไม่รัก, ไหนลองยกเหตุผลมาซิ, ตั้งใจเรียนให้เก่ง อย่ามัวแต่เล่นเดี๋ยวเรียนไม่ทันเพื่อน, เพื่ออนาคตลูกต้องตั้งใจเรียน, ลำบากก่อนสบายทีหลัง, การทำสิ่งใดต้องรู้คุณค่าของคน คือความกตัญญู, พ่อแม่ลำบากเพื่อลูก, ลูกต้องลบคำดูถูกของคนทางบ้านเราให้ได้, เพื่อแบบนี้ต้องมีมั่ง อย่าทำอย่างเขาแล้วกัน

การแก้ปัญหา การให้คำปรึกษา
มีอะไรคุยกันได้ทุกเมื่อ, เงินทองของนอกกายแต่เก็บไว้บ้างก็ดีนะ, ไม่ว่าลูกจะตัดสินใจอย่างไร พ่อแม่หาทางช่วยเหลือหาทางออกให้, ใจเย็นๆทุกอย่างมีทางแก้

การถามถึงสารทุกข์
ชวนมากินข้าว, ไปไหนมาลูก, อยากกินอะไรไหม, ทำข้อสอบได้ไหม, ที่ไปเอ็นทรานซ์มาน่ะ ไม่ต้องเครียด, การบ้านทำเสร็จหรือยังลูก ทำให้เสร็จจะได้พัก, ทำไมเหรอ (พ่อ/แม่) อะไร ยังไงคะ

การแจ้งให้ทราบ
แม่ซื้อของมาฝาก, แม่จะไปธุระข้างนอก, เดี๋ยวแม่พาไปเที่ยว, พ่อจะเก็บเงินที่ไหนมาไว้ให้, พ่อจะพาพวกเรากลับบ้าน, วันนี้พ่อจะไม่กินเหล้าและเลิก, พ่อจะไปทำงาน (พ่อมีงานทำ), จะพาไปหาหมอ, จะพาไปโรงเรียน, จะหางานทำให้, จะพาไปต่อบัตรประชาชน, จะพาไปเข้าค่าย, ช่วยแม่ทำงานนี้หน่อยสิจ๊ะ

ลักษณะการพูดที่ดี
พูดเป็นกันเองไม่ถือตัว, ไม่พูดเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่, เป็นผู้อ่อนน้อม, ไม่ตี ,พูดจริงทำจริง, สั้นๆง่ายๆได้ใจความ, คำพูดที่เข้าใจเราให้ความรู้สึกที่ดี, คำพูดที่ยอมรับไม่ซ้ำเติม, แม่พูดจาดีกับเด็ก, ตั้งใจสนทนา, รับฟังทุกเรื่องราว, ไม่ทำให้หงุดหงิด, ทำให้ความคิดไม่ถูกปิดกั้น, คำพูดมีสาระเนื้อน่าฟัง, ฟังความคิดผู้อื่น, การพูดที่ไม่โต้แย้งกัน, ลงท้ายคำพูด คะ ขา ข่ะ ออ?จ๋า

                   ผมขอฝากคำพูดที่น่าฟังเหล่านี้ไปถึงคุณพ่อ-แม่ทุกคนพูดกับลูกหลาน เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ครอบครัวของทุกๆคน นะครับ

คำพูดที่ลูกไม่อยากฟังจากพ่อแม่........
         
เมื่อได้พูดถึงคำพูดที่น่าฟังแล้วและเพื่อสร้างความตระหนักแก่พ่อแม่ ผู้ปกครองทั้งหลายว่า คำพูด หรือการสื่อสารในสิ่งที่ไม่ได้คิดไว้ก่อน มีผลต่อผู้ฟังอย่างมาก
โดยเฉพาะวัยรุ่นวัยที่แข็งกร้าว ชอบการท้าทาย ซึ่ง ดร.สมพงษ์กล่าวว่าคนเป็นพ่อแม่นั้นอย่าใช้คำว่า "ห้าม" กับลูกวัยรุ่น เพราะผลการศึกษา  เราพบเด็กสารภาพว่า ถ้าการขออนุญาตกระทำสิ่งใดแล้ว พ่อแม่ห้าม เขาจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เพราะอยากท้าทาย และอยากรู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร
           ดังนั้น พ่อแม่ยุคนี้จึงต้องฟังลูกให้มาก บ่นให้น้อยลง อยู่กับเขาอย่างใจเย็น พูดคุยด้วยการดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม
เพื่อเป็นการเตือนตัวเองว่า คำพูดรุนแรง ที่จะสร้างความรู้สึกไม่ดีให้กับลูก 3 อันดับแรกคือ พูดคำหยาบ คำไม่สุภาพ ตามมาด้วย การด่าทอ พูดเสียงดังโหวกเหวก พูดจาแดกดัน ไม่ยอมรับฟังเหตุผล เมื่อจำแยกเป็นประเภท จะได้ดังนี้
ลักษณะคำพูดที่รุนแรง
พูดบ่อยเกินไปซ้ำๆ ไม่มีสาระ, พูดมะนาวไม่มีน้ำ, รู้อย่างนี้เอาขี้เถ้ายัดปากตั้งแต่เด็ก, ไม่มีความเกรงใจ, ผลาญเงินเท่าไรผลาญไปเลย, ไม่รู้ว่าลับหลังเรามันจะขนาดไหน, อยู่เฉยๆไม่ตอบไม่พูดไม่จา, น้ำเสียงน่ากลัว, คะแนนห่วยแตก, คำพูดที่ทำให้ผู้อื่นเสียใจ

พูดดุด่า ด้วยอารมณ์ที่รุนแรง
โตเป็นควาย หมาเลียตูดไม่ถึง ยังทำแบบนี้อีก, ไม่ได้เรื่อง, มึงมีปัญหากับกูรึเปล่า, โง่อวดฉลาด, ไอ้ลูกนอกคอก, เถียงคำไม่ตกฟาก, กลับดึกดื่น ค่ำมืด, เลี้ยงเสียข้าวสุก, เกิดมาทำไมเรื่องมาก วุ่นวาย, ฉันยังเป็นแม่แกอยู่นะ

พูดตักเตือน ว่ากล่าว
อะไรเนี่ย อะไรถึงเป็นแบบนี้, หยุดพูดได้แล้ว, ว่ากล่าวตักเตือน, คำสั่งงานต่างๆ, เป็นลูกผู้หญิงไม่เคยช่วยงานพ่อแม่เลย, อย่าเสียมารยาทสิ, คุยอะไร โทรศัพท์บอกให้วาง, ทำไมไม่ระมัดระวังเลย ซุ่มซ่าม

พูดห้าม ออกคำสั่ง
อย่าเพิ่งมากวน, นี่อย่าส่งเสียงดังได้ไหม, ขอออกไปข้างนอกบ้าน แต่พ่อแม่ปฏิเสธ
"ไม่ต้องไป", จะไปหรือไม่ไป, เป็นเด็กเป็นเล็ก เรื่องผู้ใหญ่อย่ายุ่ง, อย่าทำอย่างนั้นสิ, อย่าออกไปไหนนะ, อย่าทำอีก
คำพูดขับไสไล่ส่ง
เอาเงินกับเพื่อนแกโน่น, ตัดลูกตัดแม่กันไปเลย, เดี๋ยวตัดหางปล่อยวัด คำพูดดูถูกประณาม เหยียดหยาม สอนอะไรไม่จำ พูดจนปากเปียกปากแฉะ, ฉันจะดูว่าน้ำหน้าอย่างแกจะไปรอดไหม

พูดประชดประชัน
ให้แต่เพื่อน, จะเอาเพื่อนมาเป็นพ่อแม่

ลักษณะคำพูดอื่นๆ
อยากอยู่ใกล้ๆเพื่อน, อยากอยู่คนเดียว,พอเราแก่ลงลูกคงไม่เลี้ยงดูเราหรอก

คำพูดหลักๆข้างต้นเมื่อพูดไปแล้วส่งผลต่อจิตใจ กระทบความรู้สึกกับผู้ฟัง โดยเฉพาะคนเป็นลูกที่พ่อแม่ควรระวังอย่างยิ่ง  
จากหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน 17/3/46 คอลัมน์ โลกวัยใส  ]

 

ภัทรา - 19/7/2007 เมื่อ 15:20 ปัญหาของบรรดาอีหนูและไอ้หนู ที่อยู่กับพวกเราในชั่วโมงทำงานก็เครียดไม่แพ้กันเจ้าค่ะ
ข้อมูลจากการวิจัย ข้างล่างนี้ คัดลอกจาก นสพ.มติชน วันที่ 18 ก.ค. 2550
ที่น่าเจ็บใจคือ
ผลสุดท้ายก็โยนเข้ามาให้ระบบการศึกษารับภาระ
มั นน่าจะยุบกระทรวงอื่นให้หมด
เหลือแต่กระทรวงศึกษากระทรวงจังเลยนะเจ้าคะ!


ตะลึงผลวิจัยจุฬาฯ
"
ยุวอาชญากร"ผุด! ทุกตรอกซอยกทม. 29 เขต 1.2พันชุมชน จุฬาฯเผยผลวิจัย พบ กทม.มี
"
ยุวอาชญากร"ผุดตามตรอกอื้อ เด็กกว่า 50% เข้าสู่ถนนยุวอาชญากรรม
รวมตัวเป็นแก ๊ง
ทำกิจกรรมอันตราย
ทั้งยาเสพติด-เพศ-พนัน-ความรุนแรง  

ชี้เด็กเมืองกรุงเป็นพวกบริโภคนิยมสูง
นายffice:smarttags
"สมพงษ์ จิตระดับ" อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวปาฐกถา เรื่องจุฬาฯกับการพัฒนากรุงเทพมหานคร (กทม.) หัวข้อ "แสงสว่างของเด็กด้อยโอกาสใน กทม."
จัดโดยโครงการผลึกความรู้เรื่องกรุงเทพฯ จุฬาฯว่า  ที่ผู้บริหาร กทม.ระบุว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองสวรรค์นั้น ตอนนี้เหมือนนรก
  ผลวิจัยโครงการ" 1,800 ชุมชน กทม. : น่าอยู่ หรืออันตราย"  ที่ลงพื้นที่สำรวจข้อมูลสภาพของชุมชนในเรื่องต่างๆ โดยสัมภาษณ์ผู้นำชุมชนจาก 29 เขต และให้ผู้นำชุมชน 1,200 ชุมชน พบว่าสังคมไทยมียุวอาชญากรเกิดขึ้นทุกตรอก ยาเสพติดกลับมาระบาดอย่างรุนแรง เด็กเร่ร่อนใน กทม.ไม่ได้เกิดจากสภาพสังคม
แต่เป็นขบวนการ  เยาวชนหลุดพ้นจากระบบการศึกษา เพราะความล้มเหลวในช่วงรอยต่อของ ป.6 ไปยัง ม.ต้น ทำให้เด็กที่อยู่ในครอบครัวที่ยากจนหลุดสู่วงจรอบายมุข
"เด็กและเยาวชนมากกว่า 50% เข้าสู่ถนนยุวอาชญากรรม เด็กจะรวมเป็นแก๊ง
  เริ่มไปสู่กิจกรรมอันตราย อาทิ ยาเสพติด เพศ ความรุนแรง จนเติบโตเป็นอาชญากร"
นอกจากนี้ เด็กไทยใน กทม.มีคุณลักษณะดังนี้

บริโภคนิยมสูง

นอนดึก
ตื่นสาย
ร่างกายอ่อนแอ
วุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำ

เรียนรู้เรื่องเพศเร็ว
แสวงหาเพื่อนใหม่ทางอินเตอร์เ
น็ต
ยึดวัตถุสิ่งของ

ขาดจิตอาสา
ขาดรากเหง้าทางศีลธรรม
เกิดภาวะไร้ความสุขสูง
เล่นพนันบอล

ทำงานหนักไม่เป็น
แย่งชิง และทำร้ายกันในรูปแบบต่างๆ
มีสภาวะหัวหน้าครอบครัวตั้งแต่วัยเยาว์
นายสมพงษ์กล่า วว่า สังคมไทยขณะนี้


พ่อแม่ไม่มีเวลาดูแลลูก ปล่อยให้ 4 แม่เทียมเลี้ยง

ได้แก่
แม่ทีวี
แม่คอมพิวเตอร์
แม่เกมส์
และแม่โทรศัพท์มือถือ

ส่งผลให้เด็กไทยส่วนใหญ่กำพร้าแม่ที่แท้จริง  ถ้า กทม.อยากแก้ปัญหาต่างๆ ต้องสร้างกิจกรรมให้เด็กและเยาวชน
นายสมพงษศ์กล่าวว่า ส่วนเด็กเร่ร่อนในกรุงเทพฯมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เพราะมีเด็กเร่ร่อนที่มาจากครอบครัวชนชั้นกลาง
เนื่องจากพ่อแม่ขาดความใกล้ชิดกับลูก
เด็กจึงต้องการอิสระ
รักความสบาย
เที่ยวเตร่
ชอบเดินห้างสรรพสินค้า
เบื่อโรงเรียนและมุ่งสู่แหล่งอบายมุข
ซึ่งปัญหาต่างๆ แก้ได้ถ้านำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ และปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาใหม่

[แก้ไขกระทู้เมื่อ 20/7/2007 โดย ภัทรา]


poy - 22/7/2007 เมื่อ 05:31

I agree with you Mrs.Patthra.
 
It's me , Supannee.


wanchai - 22/7/2007 เมื่อ 09:22

But I don't think so !
Someone likes talking but dislikes doing.
Anyone talks but not anyone does
everyone can talk but no o­ne can do.

When we knew the causes of the problem.
We talk o­nly the problems but not show the way of solving problems
everyone can talk but can't show.
So the problems still increase !
I'm bored to listen but eager to see someone makes sight.

[แก้ไขกระทู้เมื่อ 22/7/2007 โดย wanchai] 

5 อันดับคำพูดพ่อแม่ แทงใจดำลูกๆ  
ส่วนคำพูดที่ส่งผลลบกับเด็กมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ
1.
ตะคอก พูดกูมึง ไม่ฟังเหตุผล
2.
ทำไมถึงทำไม่ได้ แค่นี้ก็ทำไม่ได้
3.
ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย อยากให้ทำตัวเหมือนลูกคนอื่นๆ บ้าง
4.
ทำอะไรไม่รู้จักคิด มึงโง่จัง มึงเคยหาอะไรเจอบ้าง ทำไมได้เกรดแค่นี้ ต่อไปไม่ต้องคุยโทรศัพท์กับเพื่อน ฯลฯ และ
5.
ไม่รู้จักหน้าที่ ไม่ต้องไปกับเพื่อน"
By :
โดเรมอน    Date : 14 Mar 2006 14:23   

 

                    *************************************