หมวดที่ ๑
|
||||||
หมวดที่ ๙
|
|
การเลิกมูลนิธิ |
บทเบ็ดเตล็ด |
ตราสาร
สัมมาชีวศิลปมูลนิธิ ในพระสังฆราชูปถัมภ์
ข้อ
๑ มูลนิธินี้ชื่อว่า สัมมาชีวศิลปมูลนิธิ ย่อว่า ส.ช.ศ. เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า The Foundation for Education in the Art of Right
Living
ข้อ
๒ เครื่องหมายของมูลนิธินี้คือ
รูปบัวสี่เหล่ากลางน้ำ มีพระอาทิตย์
ส่งรัศมีอยู่ในวงกลมสองชั้นมีกลีบบัวอยู่โดยรอบ
หมวดที่ ๒
วัตถุประสงค์
ก. ดำเนินการสอนนักเรียนตามหลักสูตรระดับต่างๆ ของกระทรวงศึกษาธิการ ได้แก่ ระดับอนุบาล ระดับประถมและระดับมัธยมศึกษา กับประเภทอาชีวศึกษา
ข. ให้การศึกษาอบรมหนักไปในทางธรรมะ
ตามหลักพระพุทธศาสนา อบรมให้รักวัฒนธรรมไทย และส่งเสริมสมรรถภาพของศิลปหัตถกรรม
ค ให้การศึกษาอบรมหลักการและวิธีสหกรณ์รูปแบบต่างๆเพื่อให้ช่วยเหลือตนเองและชุมชนในทาง เศรษฐกิจและสังคม จนถึงรวมกันเป็นพุทธนิคมในท้ายที่สุด
๔.๒ อุปการะโรงเรียนในสังกัดของมูลนิธิในด้านต่างๆเพื่อให้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย มั่นคง ภายใต้บังคับ พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน
๔.๓อุปการะนักเรียนที่ยากจนขาดแคลนทุนทรัพย์ให้ได้โอกาสรับการศึกษาจากโรงเรียนในสังกัดของมูลนิธิเอง หรือส่งเสริมให้ทุนเพื่อรับการศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาแขนงวิชาชีพต่างๆให้มั่นคง
๔.๔ ส่งเสริมสวัสดิการให้แก่ครูนักเรียนและพนักงานของมูลนิธิเพื่อให้เกิดความสำนึกในการประกอบสัมมาอาชีพ อบรมกุล บุตรกุลธิดา ให้เกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนานับเป็นองค์หนึ่งของมรรคสัจจ์อันเป็นหลักสำคัญยิ่งของพระพุทธศาสนา
๔.๕ พิจารณาอุปการะภิกษุ สามเณร ตลอดจนแม่ชีให้ได้ศึกษาธรรมะ วิชาชีพบางแขนง เช่น วิชาครู วิชาพยาบาลเบื้องต้น และวิชาอื่นๆ เพื่อเข้ามาช่วยเหลือฝึกอบรมนักเรียน กุลบุตร ตามโอกาสอันควร
๔.๖ ดำเนินการเพื่อสาธารณะประโยชน์หรือร่วมมือกับองค์การกุศลอื่นๆทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อสาธารณะประโยชน์
๔.๗ ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องการเมืองแต่ประการใด
[ กลับสารบัญ ]
หมวดที่ ๓
ทุนทรัพย์ ทรัพย์สินและการได้มาซึ่งทรัพย์สิน
ข้อ ๕ ทรัพย์สินของมูลนิธิทุนเริ่มแรก
คือ
๕.๑ เงินสด จำนวน ๑๔,๐๐๐ บาท ( หนึ่งหมื่นพันบาท ) จดทะเบียนก่อตั้งครั้งแรกเมื่อ
๒๙ มีนาคม ๒๔๙๒
ข้อ
๖ มูลนิธิอาจได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยวิธีดังต่อไปนี้
๖.๑ เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้ยกให้โดยพินัยกรรมหรือนิติกรรมใดๆโดยมิได้มีเงื่อนไขผูกพันให้มูลนิธิต้องรับผิดชอบในหนี้
สินหรือภาวะติดพันอื่นใด
๖.๒ เงินหรือทรัพย์สินที่ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคให้
๖.๓ ดอกผลซึ่งเกิดจากทรัพย์สินของมูลนิธิ
๖.๔ รายได้ที่เกิดจากกิจกรรมตามหน้าที่ของหน่วยงานซึ่งอยู่ในสังกัด หรือรายได้จากกิจกรรมพิเศษอื่นใดนำเพิ่มทุนสะสมหาดอกผล
หมวดที่ ๔
องค์อุปถัมภ์มูลนิธิ
ข้อ ๗
ให้คณะกรรมการมูลนิธิ ทูลอาราธนาสมเด็จพระสังฆราช องค์ปัจจุบัน
และทุกพระองค์ในอนาคต ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ของมูลนิธิ และอาราธนาพระมหาเถระอื่นๆ
ซึ่งเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของพุทธศานิกชน เป็นผู้อุปการะมูลนิธินี้อีกด้วย
หมวดที่ ๕
คุณสมบัติและการพ้นตำแหน่งของกรรมการ
๘.๑ มีอายุไม่ต่ำกว่า ๒๐
ปีบริบูรณ์
๘.๒ ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย
หรือไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ
๘.๓ ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก
เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ
๘.๔ มีความประพฤติดี
ตั้งอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม เป็นผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง
ข้อ
๙ กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
๙.๑ ถึงคราวออกตามวาระ
๙.๒ ตายหรือลาออก
๙.๓ ขาดคุณสมบัติตามตราสาร
ข้อ ๘
๙.๔ เป็นผู้มีความประพฤติและปฏิบัติตนเป็นที่เสื่อมเสีย และคณะกรรมการมูลนิธิมีมติให้ให้ออกโดยมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของกรรมการมูลนิธิ
การดำเนินงานของคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ ๑๐
มูลนิธินี้ดำเนินการโดยคณะกรรมการมูลนิธิ มีจำนวนไม่น้อยกว่า ๕ คน แต่ไม่เกิน ๑๑
คน ประกอบด้วยประธานกรรมการมูลนิธิ รองประธานกรรมการมูลนิธิ เลขาธิการมูลนิธิ
เหรัญญิก และตำแหน่งอื่นๆ ตามแต่คณะกรรมการมูลนิธิจะเห็นสมควร
ข้อ ๑๑
ในวาระแรกให้คณะกรรมการมูลนิธิ ชุดที่ดำรงตำแหน่งอยู่ เชิญผู้มีคุณสมบัติเพื่อแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการให้ครบจำนวน
ข้อ๑๒
วิธีการเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิให้ปฏิบัติดังนี้
คณะกรรมการมูลนิธิชุดที่ดำรงตำแหน่งอยู่เลือกประกรรมการมูลนิธิ
และกรรมการอื่นๆ ตามจำนวนที่เห็นสมควรตามตราสาร
ข้อ ๑๓
กรรมการดำเนินงานมูลนิธิอยู่ในตำแหน่งคราวละ ๔ ปี
ข้อ ๑๔
เพื่อให้การดำเนินงานของมูลนิธิได้เป็นไปโดยติดต่อกัน
เมื่อคณะกรรมการดำเนินงานของมูลนิธิได้ปฏิบัติหน้าที่มาครบ ๒ ปี (
ครึ่งหนึ่งของวาระการดำรงตำแหน่ง ) ให้มีการจับสลากออกไปหนึ่งในสองของจำนวนกรรมการมูลนิธิที่ได้รับเลือกเป็นกรรมการดำเนินงานมูลนิธิครั้งแรก
ข้อ ๑๕
การเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิ
ให้ถือเสียงข้างมากของที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิเป็นมติของที่ประชุม
ข้อ ๑๖
กรรมการมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระหรือการจับสลากในวาระแรกอาจได้รับเลือกเข้าเป็นกรรมการได้อีก
ข้อ๑๗
ถ้าตำแหน่งกรรมการมูลนิธิว่างลง ให้คณะกรรมการมูลนิธิที่เหลืออยู่ตั้งบุคคลอื่นเป็นกรรมการมูลนิธิแทนตำแหน่งที่ว่าง
กรรมการมูลนิธิผู้ได้รับการตั้งซ่อมอยู่ในตำแหน่งเท่าวาระของผู้ที่ตนแทน
[ กลับสารบัญ
]
หมวดที่ ๗
อำนาจหน้าที่ของกรรมการมูลนิธิ
ข้อ
๑๘ คณะกรรมมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินกิจการของมูลนิธิ
ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ และภายใต้ข้อบังคับตราสารนี้ให้มีอำนาจหน้าที่ต่างๆ
ดังต่อไปนี้
๑๘.๑ กำหนดนโยบายของมูลนิธิ
และดำเนินงานตามนโยบายนั้น
๑๘.๒ บริหารกิจการ
ควบคุมการเงิน และทรัพย์สินต่างๆของมูลนิธิ
๑๘.๓ เสนอรายงานกิจการ
รายงานการเงินและบัญชีงบดุลรายได้-รายจ่าย ต่อกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการคลัง
(กรมสรรพากร) ตามระเบียบที่ทางราชการกำหนดไว้
๑๘.๔ ดำเนินการให้เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิและวัตถุประสงค์ของตราสารนี้
๑๘.๕ ตราระเบียบเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของมูลนิธิ
๑๘.๖ แต่งตั้งหรือถอดถอนคณะอนุกรรมการขึ้นคณะหนึ่งหรือหลายคณะเพื่อดำเนินการ เฉพาะอย่างของมูลนิธิ ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการมูลนิธิ
๑๘.๗ เชิญผู้ทรงคุณวุฒิหรือบุคคลที่ทำประโยชน์ให้มูลนิธิเป็นพิเศษเป็นกรรมการกิตติมศักดิ์
๑๘.๘ เชิญผู้ทรงเกียรติเป็นผู้อุปถัมภ์
๑๘.๙ เชิญผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิ
๑๘.๑๐
แต่งตั้งหรือถอดถอนเจ้าหน้าที่ประจำของมูลนิธิ
มติให้ดำเนินการตามข้อ
๑๘.๗, ๑๘.๘, ๑๘.๙
ต้องเป็นมติเสียงข้างมากของที่ประชุมและที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิ
ที่เชิญเท่านั้น
ข้อ
๑๙ ประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ดังนี้
๑๙.๑ เป็นประธานของการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
๑๙.๒ สั่งเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
๑๙.๓ เป็นผู้แทนของมูลนิธิในการติดต่อกับบุคคลภายนอกและในการทำนิติกรรมใดๆของมูลนิธิ
หรือการลงลายมือชื่อในเอกสาร ตราสาร และสรรพหนังสืออันเป็นหลักฐานของมูลนิธิและในอรรถคดีนั้น
เมื่อประธานกรรมการมูลนิธิ หรือผู้ทำการแทน หรือกรรมการมูลนิธิ ๒ คน
ได้ลงลายมือชื่อแล้วจึงเป็นอันใช้ได้
๑๙.๔ ปฏิบัติการอื่นๆตามตราสาร และมติของคณะกรรมการมูลนิธิหรือภาระกิจอื่นใดของมูลนิธิ
ประธานกรรมการมูลนิธิอาจตั้งเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิ ไปดำเนินการในกิจการแทน
เท่าที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อมูลนิธิตามควรแก่ภาระกิจนั้น
ข้อ
๒๐ ให้รองประธานกรรมการมูลนิธิทำหน้าที่แทนประธานกรรมการมูลนิธิ
เมื่อประธานฯ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
หรือในกรณีที่ประธานกรรมการมูลนิธิมอบหมายให้ทำการแทน
ข้อ
๒๑ ถ้าประธานกรรมการมูลนิธิ
และรองประธานกรรมการมูลนิธิไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในการประชุมคราวหนึ่งคราวใดได้
ให้ที่ประชุมเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิคนใดคนหนึ่งเป็นประธานสำหรับการประชุมคราวนั้น
ข้อ
๒๒ เลขาธิการมูลนิธิ
มีหน้าที่ควบคุมกิจการ และดำเนินการประจำมูลนิธิ ติดต่อประสานงานทั่วไป
รักษาระเบียบข้อบังคับของมูลนิธิ
นัดประชุมกรรมการตามคำสั่งของประธานกรรมการมูลนิธิและทำรายงานการประชุม
ตลอดจนรายงานกิจการมูลนิธิ
ข้อ
๒๓ เหรัญญิก มีหน้าที่ควบคุมการเงิน
ทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนบัญชี
และเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและเป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด
ข้อ
๒๔ สำหรับกรรมการตำแหน่งอื่น
ให้มีหน้าที่ตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด โดยเป็นคำสั่ง
ระบุอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจน
ข้อ
๒๕ คณะกรรมการมูลนิธิมีสิทธิเข้าร่วมประชุมกรรมการหรืออนุกรรมการอื่นๆของมูลนิธิได้
หมวดที่ ๘
อนุกรรมการ
ข้อ
๒๖ คณะกรรมการมูลนิธิ
อาจแต่งตั้งหรือถอดถอนอนุกรรมการได้ตามความเหมาะสม
โดยแต่งตั้งให้เป็นอนุกรรมการประจำ หรือเพื่อการใดเป็นกรณีพิเศษเฉพาะคราวก็ได้
และในกรณีที่คณะกรรมการมูลนิธิไม่ได้แต่งตั้งประธานอนุกรรมการ เลขานุการ
หรืออนุกรรมการในตำแหน่งอื่นไว้ ก็ให้อนุกรรมการแต่ละคณะแต่งตั้งกันเอง
ดำรงค์ตำแหน่งดังกล่าวได้
ข้อ
๒๗ อนุกรรมการอยู่ในตำแหน่งจนกว่าจะเสร็จงานที่ได้รับมอบหมายให้กระทำ
ส่วนคณะอนุกรรมการประจำอยู่ในตำแหน่งตามเวลาที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด
ซึ่งถ้ามิได้กำหนดไว้ก็ให้อยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่าวาระของคณะกรรมการมูลนิธิซึ่งเป็นผู้แต่งตั้งและอนุกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งอาจได้รับการแต่งตั้งอีกได้
๒๗.๑ อนุกรรมการมีหน้าที่ดำเนินการตามที่คณะกรรมการมูลนิธิมอบหมาย
๒๗.๒ อนุกรรมการมีหน้าที่เสนอความคิดเห็นต่อคณะกรรมการมูลนิธิ
เกี่ยวกับงานที่ได้รับมอบหมาย
[ กลับสารบัญ ]
การประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ ๒๘ คณะกรรมการมูลนิธิจะต้องจัดให้มีการประชุมสามัญประจำปีทุกๆปี
ภายในเดือน
มิถุนายนและต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าร่วมประชุมอย่างน้อยกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด
จึงจะเป็นองค์ประชุม
ข้อ
๒๙ การประชุมวิสามัญอาจมีได้เมื่อประธานกรรมการมูลนิธิ
หรือเมื่อคณะกรรมการมูลนิธิตั้งแต่ ๒ คน
ขึ้นไปแสดงความประสงค์ไปยังประธานกรรมการมูลนิธิ
หรือผู้ทำการแทนขอให้มีการประชุมก็ให้เรียกประชุมวิสามัญได้
ข้อ ๓๐ กำหนดการประชุมและองค์ประชุมของคณะอนุกรรมการ
ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการมูลนิธิจะกำหนด ซึ่งถ้ามิได้กำหนดไว้ในส่วนที่เกี่ยวข้อง
กำหนดการประชุมให้คณะอนุกรรมการตกลงกันเอง
และในส่วนที่เกี่ยวกับองค์ประชุมให้ใช้ข้อ ๒๘ บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๓๑ ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิหรือคณะอนุกรรมการ
หากมิได้มีข้อบังคับกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
มติของที่ประชุมให้ถือเอาคะแนนเสียงข้างมาก ในกรณีที่คะแนนเสียงเท่ากัน
ให้ประธานในที่ประชุมเป็นผู้ชี้ขาด กิจการใดที่เป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อย
ประธานกรรมการมูลนิธิ
มีอำนาจสั่งให้ใช้วิธีสอบถามมติทางหนังสือแทนการเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
แต่ประธานกรรมการมูลนิธิจะต้องรายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิในคราวต่อไปถึงมติและกิจการที่ได้ดำเนินการไปตามมตินั้น
ข้อ ๓๒ ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิหรือคณะอนุกรรมการ
ประธานกรรมการมูลนิธิหรือประธานที่ประชุมมีอำนาจเชิญ
หรืออนุญาตให้บุคคลที่เห็นสมควรเข้าร่วมประชุม ในฐานะแขกผู้มีเกียรติ
หรือผู้สังเกตการณ์ หรือเพื่อชี้แจง หรือเพื่อให้คำปรึกษาแก่ที่ประชุมได้ [ กลับสารบัญ ]
หมวดที่ ๑๐
การเงิน
ข้อ
๓๓ ประธานกรรมการมูลนิธิหรือรองประธานกรรมการมูลนิธิในกรณีที่ทำหน้าที่แทน
มีอำนาจสั่งจ่ายคราวละไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท
ถ้าเกินกว่าจำนวนดังกล่าวต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมาก
เว้นแต่ในกรณีจำเป็น
และเร่งด่วนให้อยู่ในดุลพินิจของประธานกรรมการมูลนิธิที่อนุมัติให้จ่ายได้แล้วต้องรายงานให้คณะกรรมการมูลนิธิทราบในการประชุมคราวต่อไป
ข้อ ๓๔ เหรัญญิกมีอำนาจเก็บรักษาเงินสดได้ครั้งละไม่เกิน
๑,๐๐๐ บาท
ข้อ ๓๕ เงินสดของมูลนิธิและเอกสารสิทธิต้องนำมาเข้าฝากไว้กับธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่นใดที่รัฐบาลให้การค้ำประกัน
แล้วแต่คณะกรรมการมูลนิธิจะเห็นสมควร
ข้อ ๓๖ การสั่งจ่ายเงินโดยเช็คหรือตั๋วสั่งจ่ายเงิน
จะต้องมีลายมือชื่อของประธานกรรมการมูลนิธิหรือผู้ทำการแทน กับเลขาธิการหรือเหรัญญิกลงนามทุกครั้ง
จึงจะเบิกจ่ายได้
ข้อ ๓๗ บรรดาเงินและทรัพย์สินเป็นทุนของมูลนิธิ
ตามข้อ ๕ และข้อ ๖ ในหมวดที่ ๓ จำต้องรักษาไว้เป็นทุนสะสม
เพื่อเป็นอนุสรณ์ของผู้บริจาค
และเป็นทุนเพื่อหาดอกผลมาใช้จ่ายในการดำเนินกิจการตามวัตถุประสงค์
๓๗.๑ ในการจ่ายของมูลนิธิให้จ่ายเพียงดอกผลที่เกิดจากทรัพย์สินอันเป็นของมูลนิธิ
และจากดอกผลอันเกิดจากทุนทรัพย์สะสมของหน่วยงานในสังกัดหรือเกิดจากเงินที่ผู้บริจาคได้แสดงเจตนาให้เป็นทุนสะสมโดยเฉพาะ
๓๗.๒ ใช้จ่ายจากเงินทดรองจ่าย
ซึ่งเป็นเงินดอกผล จัดกิจกรรมเพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิในรูปทุนหมุนเวียนแล้วเบิกจ่ายตามระเบียบที่กำหนดทางบัญชี
หากมีรายรับสูงกว่ารายจ่ายก็นำเข้าสมทบทุนสะสม
๓๗.๓ จ่ายจากวงเงินที่ผู้บริจาคให้เจาะจงเพื่อใช้ในกิจการใดเป็นเฉพาะกรณีตามประสงค์ของผู้บริจาค
๓๗.๔ กิจการจรที่อาจเกิดขึ้นเป็นพิเศษเฉพาะเรื่องเป็นครั้งคราว
ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงเกินวงเงินรายรับจากดอกผลจำเป็นต้องเบิกจ่ายจากทุนสะสม
อาจกระทำได้โดยเสนอเรื่องขอรับความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
หากที่ประชุมพิจารณาเห็นชอบแล้วอนุมัติให้ดำเนินการได้โดยมีคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ในองค์ประชุมนั้น
ข้อ ๓๘ ให้คณะกรรมการมูลนิธิวางระเบียบเกี่ยวกับเงิน
การบัญชี และทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนกำหนดหน้าที่ต่างๆ
เกี่ยวกับการรับและจ่ายเงินนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ
ข้อ ๓๙ ให้มีผู้สอบบัญชีของมูลนิธิ
ซึ่งคณะกรรมการมูลนิธิเห็นชอบ
และแต่งตั้งจากบุคคลที่มิใช่กรรมการหรือเจ้าหน้าที่อื่นของมูลนิธิ
โดยจะให้ดำรงตำแหน่งกิตติมศักดิ์
หรือได้รับค่าตอบแทนอย่างไรสุดแต่ที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิจะกำหนด
ข้อ ๔๐ ผู้สอบบัญชีมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบบัญชีของมูลนิธิ
และรับรองงบดุลประจำปีที่คณะกรรมการมูลนิธิจะต้องมูลนิธิจะต้องรายงานต่อกระทรวงมหาดไทย
และกระทรวงการคลัง( กรมสรรพกร )
ผู้สอบบัญชีมีสิทธิตรวจสอบบัญชีและเอกสารที่เกี่ยวข้องตลอดจนสอบถามกรรมการมูลนิธิ
และเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิในเรื่องใดๆที่เกี่ยวกับการเงิน
การบัญชีและเอกสารดังกล่าวได้ [ กลับสารบัญ ]
หมวดที่ ๑๑
การแก้ไขเพิ่มเติมตราสาร
ข้อ ๔๑ การแก้ไขเพิ่มเติมตราสาร จะกระทำได้โดยเฉพาะที่ประชุมกรรมการมูลนิธิ ซึ่งต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าประชุมไม่น้อยกว่า สามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด และมติให้แก่ไขหรือเพิ่มเติมตราสารต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการที่เข้าร่วมประชุม
การเปลี่ยนสภาพอสังหาริมทรัพย์
ข้อ ๔๒ ในกรณีมูลนิธิพึงประสงค์เปลี่ยนสภาพอสังหาริมทรัพย์
พึงกระทำได้ดังนี้
๔๒.๑ ทรัพย์สินของมูลนิธิที่เป็นอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งได้รับมาจากผู้ศรัทธาบริจาคให้ จะดำเนินได้โดยขอความเห็นชอบจากผู้อุทิศให้
หากไม่มีชีวิตอยู่แล้ว
คณะกรรมการมูลนิธิได้ร่วมประชุมพิจารณาเห็นเป็นการสมควรและอนุมัติให้ดำเนินการตามมตินั้น
๔๒.๒ ทรัพย์สินของมูลนิธิ
ซึ่งได้มาจากทุนทรัพย์ของมูลนิธิเอง หากที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิพิจารณาเห็นเป็นการเหมาะสมและอนุมัติให้ดำเนินการ
โดยมีคะแนนเสียงไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของคณะกรรมการทั้งหมด ให้ดำเนินการตามมตินั้น [ กลับสารบัญ ]
หมวดที่ ๑๓
ข้อ ๔๓ ถ้ามูลนิธิต้องเลิกล้มไปโดยมติของคณะกรรมการ
หรือโดยเหตุใดก็ตาม
ทรัพย์สินของมูลนิธิที่เหลืออยู่ให้ตกเป็นกรรมสิทธิแก่กระทรวงศึกษาธิการ
ข้อ ๔๔ การสิ้นสุดของมูลนิธินั้น
นอกจากกฎหมายบัญญัติไว้แล้วให้มูลนิธิเป็นอันสิ้นสุดลงโดยมิต้องให้ศาลสั่งเลิกด้วยเหตุดังต่อไปนี้
๔๔.๑ เมื่อมูลนิธิได้รับอนุญาตให้จดทะเบียน
จัดตั้งเป็นนิติบุคคลแล้วไม่ได้รับทรัพย์สินตามคำมั่นเต็มจำนวน
๔๔.๒ เมื่อกรรมการมูลนิธิจำนวนสองในสามมีมติให้ยกเลิก
๔๔.๓ เมื่อมูลนิธิไม่อาจหากรรมการได้ครบตามจำนวนกรรมการที่กำหนดไว้ในตราสาร
๔๔.๔ เมื่อมูลนิธิไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดๆ
หมวดที่ ๑๔
ข้อ ๔๕ การตีความในตราสารมูลนิธิ หากเป็นที่สงสัยให้คณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมากของจำนวนกรรมการที่มีอยู่เป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ ๔๖ ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมูลนิธิมาใช้บังคับในเมื่อตราสารของมูลนิธิไม่ได้กำหนดไว้
ข้อ ๔๗ มูลนิธิจะต้องไม่กระทำการค้ากำไร
และจะต้องไม่ดำเนินการนอกเหนือไปจากตราสารที่กำหนดไว้