พระแก้วมรกตความจริงวันนี้
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
จากหนังสือ
พระแก้วมรกตของไทย รวบรวมและเรียบเรียง โดย ธรรมทาส พานิช
การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองไชยา
และเมืองนครศรีธรรมราชโบราณได้ก้าวหน้าเป็นอันมาก. เป็นอันลงร่องรอยเป็นอันดีว่า
กรุงปาตลีบุตร ของตำนานพระแก้วมรกต คือเมืองไชยาโบราณ
สมัยประมาณ พ.ศ. 1200 1300 อโศการาม ในตำนานพระแก้ว คือที่วัดแก้ว เมืองไชยา .........
เมืองไชยาในสมัยนั้นเป็นศูนย์กลางของความเจริญของพุทธศาสนา
ของดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. สมเด็จพระอมรินทราธิราช ผู้ไปหาก้อนแก้วมาได้ คือพระอินทร์
เมื่อพระวิษณุกรรมเทพบุตรเจริญวัยพอที่จะโดยเสด็จพระบิดา ทรงม้าไปขอก้อนแก้วมรกต
ถึงเหมืองแก้วในแดนยุนนาน ( ราชคตฤห์ ในตำนานไทย ) พระวิษณุกรรมเทพบุตร คือพระมหาราชวิษณุ
ตามที่มีจารึกพระนามไว้ในจารึกวัดเวียงเมืองไชยา ด้านหลังว่า วิษณวาขโย จารึก พ.ศ. 1318
ตำนานพระแก้วมรกคตของไทย... เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่า คนไทยโบราณ (
ขอม ) เป็นเจ้าของดินแดนพระนครวัด นครธม. ไม่มีตำนานพระแก้วมรกตในอินเดีย
ในลังกาเลย. เพราะว่าพระแก้วมรกตนี้ กษัตริย์ไทยโบราณได้สร้างขึ้นไว้ที่กรุงปาตลีบุตร เมืองไชยา ของไทยนี่เอง..............
จากวิกิพีเดีย
สารานุกรมเสรี ( คลิกที่นี้เพื่อสืบค้นจากเว็บวิกิพีเดียโดยตรง
หากเข้าไปข้อมูลอ้างอิงไม่ได้ )
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
| ||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||
ข้อมูลทั่วไป | ||||||||||||||||||
|
บทความนี้เกี่ยวกับพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
สำหรับพระแก้วองค์อื่นๆ ดูที่ พระแก้ว
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ
พระแก้วมรกต เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวไทย
ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (หรือ วัดพระแก้ว) ในพระบรมมหาราชวัง
กรุงเทพมหานคร
พระแก้วมรกตเป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากหยกอ่อนสีเขียวดังมรกต
เป็นพระพุทธรูปสกุลศิลปะก่อนเชียงแสนถึงศิลปะเชียงแสน
หลักฐานที่ตรงกันระบุว่าพบครั้งแรก ประดิษฐานอยู่ในเจดีย์วัดป่าญะ เมืองเชียงแสน
(ปัจจุบันคือวัดพระแก้วงามเมือง
อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย)
สภาพเป็นพระพุทธรูปพอกปูนลงรักปิดทอง
แต่เมื่อพระสงฆ์อัญเชิญออกจากพระเจดีย์ ปูนบริเวณพระนาสิกเกิดกระเทาะออก เห็นเป็นเนื้อมรกต จึงกระเทาะปูนออกทั้งองค์
เห็นเป็นเนื้อหยกสีมรกตทั้งองค์
หลังจากนั้น พระเจ้าสามฝั่งแกนแห่งเชียงใหม่ทราบข่าวการค้นพบพระพุทธรูปนี้
จึงเชิญมาประดิษฐานที่เชียงใหม่
แต่ช้างทรงพระแก้วมรกตกลับไม่เดินทางไปยังเชียงใหม่ แต่ไปทางลำปางหากช้างนั้นมีพระแก้วมรกตอยู่บนหลังช้าง
เชียงใหม่เห็นว่าลำปางก็อยู่ในอาณาจักรล้านนาจึงนำไปไว้ที่วัดพระแก้วดอนเต้า
ถึงสมัยพระเจ้าติโลกราช ได้เชิญพระแก้วมรกตมายังเชียงใหม่ สร้างปราสาทประดิษฐานไว้แต่ถูกฟ้าผ่าหลายครั้ง
ครั้นเมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาแห่งล้านช้างซึ่งเป็นญาติกับราชวงศ์ล้านนามาครองเมืองเชียงใหม่
เมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาเสด็จกลับหลวงพระบาง
ก็เชิญพระแก้วมรกตไปด้วยพร้อมกับพระพุทธสิหิงค์ ทางเชียงใหม่ขอคืนก็ได้แต่พระพุทธสิหิงค์ เมื่อล้านช้างย้ายเมืองหลวงจากหลวงพระบางมาเวียงจันทน์ก็เชิญพระแก้วมรกตลงมาด้วย
ต่อมาสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ทรงสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นเมืองหลวง
พระองค์ทรงได้ทรงยึดพระแก้วมรกต และพระบาง มาจากอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์
(ลาว) ในครั้งนั้นประดิษฐานไว้ที่วัดอรุณราชวราราม ต่อมาเมื่อสิ้นรัชสมัยของพระองค์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทรงอัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรลงบุษบกในเรือพระที่นั่ง เสด็จข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
มาประดิษฐานยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จนถึงปัจจุบัน
ส่วนพระบางทรงพระราชทานคืนให้แก่ลาว
ตำนานพระแก้วมรกต
ดูบทความหลักที่
ตำนานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
พระแก้วมรกตสร้างขึ้นในปี พุทธศักราช 500
โดยพระนาคเสนเถระ
วัดอโศการาม กรุงปาฏลีบุตร
ในแผ่นดินพระเจ้ามิลินท์ (เมนันเดอร์) สมเด็จพระอมรินทราธิราช พร้อมกับพระวิสสุกรรมเทพบุตร
ได้นำแก้วโลกาทิพยรัตตนายก อันมีรัตนายกดิลกเฉลิม 1000
ดวง สีเขียวทึบ (หยกอ่อน) นำมาจำหลักเป็นพระพุทธรูปถวายให้พระนาคเสน ถวายพระนามว่า
พระพุทธรัตนพรรณมณีมรกต พระนาคเสนจึงได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ลงไปในพระพุทธรัตนพรรณมณีมรกต 7 พระองค์ คือพระโมลี
พระนลาฏ พระนาภี พระหัตถ์ซ้าย-ขวา และพระเพลาซ้าย-ขวา
แต่เมื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานแล้วนั้น เกิดเหตุการแผ่นดินไหวขึ้น
พระนาคเสนได้พยากรณ์ว่า พระแก้วองค์นี้ จะเสด็จไปโปรดสรรพสัตว์ในเบญจประเทศ คือ ลังกาทวีป
กัมโพชะศรีอโยธยา โยนะวิสัย
ปะมะหละวิสัย
และ สุวรรณภูมิ
พุทธศักราช 800
โดยประมาณในแผ่นดินพระเจ้าศิริกิตติกุมาร พระเชษฐราชโอรสในพระเจ้าตักละราช
ขึ้นครองราชสมบัติเมืองปาฏลีบุตร เป็นช่วงที่เมืองปาฏลีบุตรเกิดมหากลียุค ทั้งมีการจลาจลภายในและข้าศึกภายนอก
ผู้คนในปาฏลีบุตรที่เคารพนับถือพระพุทธรัตนพรรณมณีมรกต ลงสู่สำเภาแล้วเดินทางลี้ภัยไปยังลังกาทวีป
เมื่อถึงลังกาทวีปพระเจ้าแผ่นดินลังกาทวีปในสมัยนั้น(ไม่ได้ระบุพระนาม)
ทรงรับรักษาพระพุทธรัตนพรรณมณีมรกตเป็นอย่างดียิ่ง
และทรงอุปถัมภ์ค้ำชูชาวปาฏลีบุตรเป็นอย่างดีสมควรตามความดีความชอบ
พุทธศักราช 1000
โดยประมาณในแผ่นดินศรีเกษตรพุกามประเทศ
พระมหากษัตริย์ผู้ครองนครขณะนั้นคือพระเจ้าอนุรุทธราชาธิราช(ภาษาบาลี) หรือ มังมหาอโนรธาช่อ(ภาษามอญ)
พระองค์เป็นกษัตริย์ที่มีพระอานุภาพมาก บริบูรณ์ด้วยพลช้างพลม้าและทหารมากมาย
แต่พระองค์ก็เป็นกษัตริย์ที่ตั้งมั่นอยู่ในสัมมาทิฐิ
ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างดียิ่ง ทรงมีพระราชโองการ ให้ส่งพระราชสาส์นและเครื่องมงคลบรรณาการ ไปยังลังกาทวีป
เพื่อขอคัดลอกพระไตรปิฎกและขอพระแก้วมรกตกลับมาด้วย
แต่เรือที่บรรทุกพระแก้วมรกตถูกพายุพัด พลัดเข้าไปทางอ่าวกัมพูชาแทน
พระเจ้านารายณ์ราชสุริยวงศ์ เจ้ากรุงอินทปัตถ์มหานคร แคว้นกัมพูชา
สั่งให้อำมาตย์คุมสำเภากลับไปถวายคืนแก่พระเจ้าอนุรุทธ
แต่ส่งกลับไปเพียงพระไตรปิฎกเท่านั้น มิได้ส่งพระพุทธรัตนพรรณมณีมรกตไปด้วย
หลังจากที่พระแก้วมรกตได้ประดิษฐานอยู่กรุงอินทปัตถ์นานพอสมควร(ไม่ได้ระบุปี) ในแผ่นดินพระเจ้าเสน่ห์ราช
เกิดพายุฝนขนาดใหญ่ตกเป็นนิจกาลยาวนานหลายเดือน(ไม่ได้ระบุ)
พระเจ้าเสน่ห์ราชก็สวรรคตด้วยอุทกภัยนั้น พระมหาเถระ(ไม่ปรากฏพระนาม)
ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตขึ้นสำเภาหนีไปยังที่ดอน พระเจ้าอติตะราช
(อาทิตยราช) เจ้าครองนครอโยธยา(หมายถึงอโยธยาโบราณ) ทราบเรื่องจึงเสด็จกระบวนพยุหยาตรา ไปอัญเชิญพระแก้วมรกตมาไว้ในที่ปลอดภัย
โดยทรงอัญเชิญพระแก้วมรกตประดิษฐานในพระมหาเวชยันตปราสาท
และได้ประดิษฐานในนครอโยธยาอีกหลายรัชสมัย
ต่อมาเจ้าเมืองกำแพงเพชร ซึ่งเป็นพระบรมญาติกับกษัตริย์อโยธยาสมัยนั้น จึงทูลขอนำพระแก้วมรกตขึ้นไป
ประดิษฐานที่เมืองกำแพงเพชรอีกหลายรัชสมัย ซึ่งปัจจุบันก็คือวัดพระแก้วกำแพงเพชร
ในอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร
ต่อมา พระเจ้าพรหมทัศน์เจ้านครหิรัญนครเงินยางเชียงแสนได้ทูลขอพระแก้วมรกตต่อพระเจ้ากำแพงเพชร
พระเจ้ากำแพงเพชรจึงได้ถวายให้นครเชียงแสน
ต่อมานครเชียงแสนเกิดมีศึกกับนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่
เจ้าผู้ครองนครเชียงแสนในเวลานั้นได้ทำการพอกปูนจนทึบและลงรักปิดทองเสมือนพระพุทธรูปสามัญทั่วไป
แล้วบรรจุเก็บไว้ในเจดีย์วัดป่าญะในเมืองเชียงแสน
จากนั้นกษัตริย์และพระราชวงศ์อพยพผู้คนลงมาทางใต้
ส่วนเมืองเชียงแสนก็ถูกตีแตกและถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนาในที่สุด
เนื่องจากพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร เป็นพระพุทธูปประจำพระราชอาณาจักร ดังนั้นประเพณีที่เกี่ยวข้อง
ส่วนมากจึงเป็นพระราชพิธี เช่น
·
พระราชพิธีตรียัมปวาลและตรีปวาย
·
พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลมาฆบูชา
·
พระราชพิธีศรีสัจปานกาลถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
·
พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวิสาขบูชา
·
พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอาสาฬหบูชา
·
พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลหล่อเทียนพรรษา
·
พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอุปสมบทนาคหลวง
·
พระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร มีกำหนดการดังนี้ เครื่องทรงฤดูร้อน ทรงเปลี่ยน
วันแรม 1 ค่ำ เดือน 4 เครื่องทรงฤดูฝน ทรงเปลี่ยน วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8
เครื่องทรงฤดูหนาว ทรงเปลี่ยน วันแรม 1 ค่ำ เดือน 12
·
พระราชพิธีตรึงหมุดธงชัยเฉลิมพล
·
พิธีจารึกพระสุพรรณบัฏดวงพระราชสมภพ
·
พิธีตั้งสมณศักดิ์และสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช
1.
กระทรวงศึกษาธิการ
ประกาศเป็นพระพุทธรูปสำคัญ ตามบัญชีแนบท้าย ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ
ว่าด้วยการก่อสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติ และการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ พ.ศ.
2520
ตำนานพระแก้วมรกต
จากเว็บไซตทัวร์ดอย
http://www.tourdoi.com/travel/happiness/prakaew1.htm
พระแก้วมรกต เป็นพระพุทธรูปที่มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เลื่อมใสของผู้คนในภูมิภาคแหลมทองมาเป็นเวลานาน เริ่มตั้งแต่ดินแดนถิ่นนี้ยังเป็นอาณาจักรต่างๆ มิได้รวมกันเป็นประเทศอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พอรวบรวมได้ว่าองค์พระแก้วมรกตสร้างขึ้นในประมาณ ปี พ.ศ. 500 โดยพระนาคเสนเถระ เมืองปาฏลีบุตร อินเดีย เข้ามาสู่ดินแดนของไทยครั้งแรกในอาณาจักรอโยธยา จากนั้นอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดพระแก้วเมืองชากังราวหรือกำแพงเพชร จากกำแพงเพชรได้อัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดพระแก้วเชียงรายเป็นเวลา 45 ปี จากนั้นก็อัญเชิญลงมาประดิษฐานที่ลำปางอีก 32 ปี จากลำปางอัญเชิญขึ้นเหนือไปประดิษฐานที่วัดเจดีย์หลวง จ. เชียงใหม่ เป็นเวลา 85 ปี จากเชียงใหม่ไปประดิษฐานที่เมืองเวียงจันทร์ 225 ปี แต่เก่าก่อนตอนปลายสมัยอยุธยา เมืองเวียงจันทน์ตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา ครั้งเมื่อกรุงศรีอยุธยามีศึกหนักกับพม่าจนตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า ทางเวียงจันทน์ถือโอกาศแข็งเมืองแยกตัวเป็นอิสระ จนกระทั่งพระเจ้าตากกอบกู้เอกราชได้และตั้งราชธานีใหม่จึงได้ส่งเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกไปตีเมืองเวียงจันทน์ให้กลับมาเป็นเมืองขึ้นเหมือนเดิม ศึกครั้งนั้นทัพของเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้รับชัยชนะโดยเด็ดขาดจึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกตกลับคืนสู่แผ่นดินไทย
ครั้งแรกเมื่ออัญเชิญพระแก้วมรกตกลับมายังประเทศไทยในสมัยกรุงธนบุรีได้อัญเชิญประดิษฐานไว้ที่วิหารน้อยวัดอรุณราชวราราม
ประดิษฐานอยู่ที่วัดอรุณฯ เป็นเวลา 5
ปี
เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเมื่อชนะศึกเมืองเวียงจันทน์และได้อัญเชิญพระแก้วมรกตกลับมาก็เกิดความยินดี
ดั่งว่าพระแก้วมรกตเป็นพระคู่บารมีคู่บ้านคู่เมือง
ครั้นเมื่อสิ้นกรุงธนบุรีเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกปราบดาภิเษกขึ้นเป็นมหากษัตริย์ได้สำเร็จ
และได้ตั้งเมืองขึ้นใหม่มีชื่อว่า กรุงรัตนโกสินทร์
นัยว่าเป็นชื่อที่มีที่มาจากพระแก้วมรกต
กรุง แปลว่า เมือง
รัตน
แปลว่าแก้ว
โกสินทร์
แปลว่าพระอินทร์ ซึ่งพระอินทร์จะมีองค์สีเขียว
รวมระยะเวลาที่องค์พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2321
จนถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลา 227
ปี
พระแก้วมรกต ท่านได้ไปประดิษฐานอยู่ ณ ที่ใด
ที่นั้นก็จะมีแต่ความสุขเจริญรุ่งเรือง
เมื่อมีสิ่งศักดิ์อยู่คู่บ้านคู่เมืองของเราแล้วก็ขอเชิญท่านทั้งหลายไปกราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวท่านเอง
รอยประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระแก้วมรกต
หลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระแก้วมรกต
มีทั้งเป็นลายลักษณ์อักษรและหลักฐานทางโบราณคดี
ในส่วนที่เป็นลายลักษณ์อักษรนั้นได้ปรากฎอยู่ในเอกสารโบราณมากมาย อาทิเช่น เรื่องรัตน์พิมพ์วงค์ ตำนานพระแก้วมรกต เรื่องพระรัตนปฏิมา ในหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์
พงศาวดารเหนือ ราชพงศาวดารกรุงกัมพูชา
ตำนานพระแก้วมรกตฉบับหลวงพระบาง และพงศาวดารโยนก เป็นต้น
จากเอกสารดังกล่าว
สามารถประมวลได้ว่า
พระแก้วมรกต สร้างขึ้นจากความดำริของพระนาคเสนเถระ
แห่งเมืองปาตลีบุตร
ในชมพูทวีป ( ประเทศอินเดียวในปัจจุบัน ) เมื่อประมาณ พ.ศ.500 จากนั้นก็ได้มีการอัญเชิญไปประดิษฐานตามเมืองสำคัญต่างๆ
ตามลำดับ
ดังนี้
·
เกาะลัง
เมื่อประมาณปี
พ.ศ. ๘๐๐
·
เมืองนครธม
ในอาณาจักรขอมโบราณ เมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๐๐๐
·
เมืองอโยชปุระ หรือเมืองอโยธยาโบราณ
ในสมัยพระเจ้าอาทิตยราช
·
เมืองกำแพงเพชร ในสมัยพระยะาวิเชียรปราการ
·
เมืองเชียงราย ในสมัยเจ้ามหาพรหม
·
นครเขลางค์ หรือเมืองลำปาง
ระหว่างปี ๑๘๗๙ - พ.ศ. ๒๐๑๑
·
เมืองเชียงใหม่
ระหว่างปี พ.ศ. ๒๐๑๑ - พ.ศ. ๒๐๙๖
ในสมัยพระเจ้าติโลกราช
·
เมืองหลวงพระบาง
ในปี พ.ศ. ๒๐๙๖
·
เมืองเวียงจันทร์
จนถึง พ.ศ. ๒๓๒๑
·
กรุงธนบุรี ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๒๑ - พ.ศ. ๒๓๒๗
·
กรุงเทพมหานคร
ตั้งแต่ปี
พ.ศ. ๒๓๒๗
จนถึงปัจจุบัน
ด้านหลักฐานทางโบราณคดี
ปัจจุบันในภาคเหนือของประเทศไทยยังคงปรากฏร่องรอยในโบราณสถานที่เกี่ยวข้องกับพระแก้วมรกตอยู่อย่างชัดเจนในหลายพื้นที่
ได้แก่
·
โบราณสถานวัดพระแก้ว ในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร
·
เจดีย์โบราณ
วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม
จังหวัดลำปาง
·
เจดีย์หลวง
ในวัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่
·
เจดีย์โบราณ
ในวัดพระแก้ว
จังหวัดเชียงราย
เรื่องตำนานพระแก้วมีหลายฉบับอาจจะผิดพลาดในเรื่องของเวลาและการกำหนดปีพุทธศักราชอยู่บ้าง
แต่สิ่งเป็นจริงที่แน่แท้ไม่ผิดเพี้ยนคือปัจจุบันนี้พระแก้วมรกต
ประดิษฐานอยู่ในประเทศไทยของเรา ที่วัดพระแก้ว หรือวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาติไทยมาช้านาน
สถานที่ต่างๆ
ที่เคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตล้วนมีความสำคัญในแง่ของความศรัทธาและความเชื่อของผู้คนท้องถิ่น
อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่มีศิลปะที่งดงามในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น
หากมีเวลาจึงขอเชิญชวนทุกท่านเดินท่องเที่ยวเยือนเมืองเหนือกราบรอยพระแก้วมรกตเพื่อความเป็นสิริมงคลและยังได้ท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ
ที่มีความสวยงามทั้งศิลปะวัฒนธรรมและธรรมชาติ
เยือนเมืองเหนือ.... กราบรอยพระแก้วมรกต
กำแพงเพชร - ลำปาง - เชียงใหม่ - เชียงราย
วัดพระแก้วเมืองกำแพงเพชร คลิกอ่านต่อ |
วัดพระแก้ว เชียงราย คลิกอ่านต่อ |
---|
วัดพระแก้วดอนเต้า จ. ลำปาง คลิกอ่านต่อ |
วัดเจดีย์หลวง จ. เชียงใหม่ คลิกอ่านต่อ |
---|
เรียบเรียงสรุปย่อความ .......
โดย พล.อ.ต. วินิจ หุตะเจริญ
เมื่อ พ.ศ.234 สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีพวกเดียรถีย์ปลอมเป็นพระภิกษุสงฆ์
จึงได้จัดการสังคายนาพระไตรปิฎกกำจัดเดียรถีย์ กระทำที่ ถูปาราม กรุงปาฏลีบุตร ชมพูทวีป
ต่อจากนั้นได้ส่งพระเถระออกไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ แผ่นดินสุวรรณภูมิ
มีพระโสณะและพระอุตตระเป็นหัวหน้าคณะ ผู้ร่วมคณะติดตามจึงน่าจะเป็นชนชาติมคธ
ดินแดนสุวรรณภูมิในศตวรรษที่ 3 น่าจะเป็นชนชาติ ละว้า,
มอญ, ขอม และชนพื้นเมืองอื่นๆ
ไทยพึ่งจะตั้งตนปกครองอาณาจักรสุโขทัย ราวศตวรรษที่ 18 หลังจากพุทธศาสนามาถึงเมืองไทยราว 1500 ปี
ในเวลานั้นมีการเดินทางของญาติพี่น้องชาวมคธ มายังประเทศไทย
ทั้งทางตอนเหนือ, ตอนกลางและตอนใต้ของประเทศ เช่นที่เมืองไชยา
( ไทยเรียกชื่อว่า ปาฏลีบุตร เหมือนในประเทศอินเดีย ) และเมืองนครศรีธรรมราช ( ตามพรลิงค์ ) และอยู่กินกับชนพื้นเมืองในประเทศ
มีบุตรหลานที่มีการศึกษาเฉลียวฉลาด
สามารถรวบรวมพลเมืองตั้งเป็นอาณาเขตปกครองของตระกูลไศเลนทร์วงษ์ ในยุคศรีวิชัย เช่นเดียวกับชนพื้นเมืองในภาคกลาง
ได้อยู่กินกับชาวมคธ จากอินเดีย สามารถรวบรวมอาณาเขตปกครองในยุคทวาราวดี
ซึ่งชนพื้นเมืองส่วนใหญ่เป็นชนชาติมอญ นอกจากนี้ชาวเปอร์เชียที่นับถือศาสนาใหม่ได้แก่ศาสนาอิสลามได้รุกราน ฆ่าฟัน
เผาและทำลายอาคารในพุทธศาสนาตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 จนถึงศตวรรษที่ 9 จนถึงแก่ชีวิต
ต้องหลบหนีมาทางพม่าและไทย ชนชาติที่นิยมมาทางพม่าได้แก่ชนชาติจากแคว้นโกศล
และใกล้เคียง ที่เข้ามาทางไทยเพราะมีญาติพี่น้องอยู่ในไทยอยู่แล้วได้แก่ชาวมคธ
และใกล้เคียง พวกที่เข้ามาทางเรือ จะเข้ามาทางเมืองไชยาและเมืองนครศรีธรรมราช
ทำให้ศาสนาพุทธในไทยเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น
ปี พ.ศ.1260 กษัตรย์ไศเลนทร์วงษ์
ซึ่งครองเมืองไชยา ( ปาฏลีบุตร ) ทรงพระนามพระเจ้าอินทร์บรมเทพ
ได้ให้พระวิษณุกรรมราชบุตร ส่งเครื่องบรรณาการไปถวายพระเจ้ากรุงจีน
และทูลขอหินสีเขียวจากเมืองจีน นำมาสร้างพระแก้วมรกต (
ทำไมจึงสร้างพระพุทธรูปจากแก้ว? เรื่องมีว่าเมื่อพระอรหันต์นามพระมหาธรรมรักขิตเถรเจ้า
ผู้เป็นอาจารย์นิพพานไปแล้ว พระอรหันต์นาม นาคเสนผู้เป็นศิษย์ คิดเห็นว่า
ควรจะสร้างพระพุทธรูปเจ้าขึ้นไว้
เพื่อแทนองค์อาจารย์ผู้ได้สั่งสอนนิพานธรรมให้แก่ศิษย์ ..........
ได้เข้าถึงสวรรค์และนิพพาน ได้เป็นจำนวนมาก ถ้าจะสร้างด้วยเงินและทองคำ
จะให้ยั่งยืนมั่นคงหาได้ไม่ เพราะคนทั้งปวงเขามี โลภะ
โทสะ โมหะมาก เขาจะทำลายพระพุทธรูปเสีย เราควรจะสร้างพระพุทธรูปไว้ด้วยแก้ว
พระอินทร์กับพระวิษณุกรรม ทราบความปรารถนาของพระนาคเสนแล้ว
ก็รับอาสาไปหาก้อนแก้วมรกตมาถวาย... )
ปี พ.ศ.1400 กรุงไชยาเกิดอุทกภัย เกิดโรคระบาด จึงย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่นครศรีธรรมราช
( ตามพรลิงค์ ) จนถึงปี พ.ศ.1432
พระเจ้าอนุรุธกษัตริย์พม่าได้ส่งกองเรือสำเภามาทูลขอพระไตรปิฎก
พร้อมทั้งพระแก้มรกต ลงเรือสำเภากลับพม่า เจ้าชายในตระกูลไศเลนทร์วงษ์ โกรธแค้น ได้ฆ่านายท้ายเรือพม่า
พร้อมทั้งแล่นเรือกลับด้วยเกรงว่ากษัตริย์ไศเลนทร์วงษ์แห่งเมืองนครศรีธรรมราชจะลงโทษ
จึงแล่นเรือเลยไปจนถึงเมืองเขมร ซึ่งมีกษัตริย์ ทรงพระนามพระเจ้า ปทุมสุริยวงศ์ ซึ่งเป็นโอรสของกษัตริย์ไศเลนทร์วงษ์ ซึ่งมารดาเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์เขมรองค์ก่อน
ได้ถวายวังให้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ชื่อว่า นครวัด
ต่อมาในปี พ.ศ.1545 เขมรเกิดจลาจลรบพุ่งแย่งชิงราชสมบัติ พระเถระได้ลอบนำพระแก้วมรกต
ลงเรือมายังกรุงละโว้ ( ลพบุรี ) ถวายพระเจ้ากรุงละโว้
เพราะเป็นเครือญาติกับกษัตริย์เขมร
ต่อมา พ.ศ.1592 กษัตริย์เมืองอโยธยา ( อู่ทอง )
ได้ทูลขอพระแก้วมรกต จากพระเจ้ากรุงละโว้ จึงมาประดิษฐานอยู่ที่อโยธยา จนถึงปี พ.ศ.1730 กษัตริย์กำแพงเพชรได้ทูลขอพระแก้วมรกตมาประดิษฐานไว้จนปี พ.ศ.1900
กษัตริย์เมืองเชียงรายเรืองอำนาจ จึงทูลขอต่อกษัตริย์เมืองกำแพงเพชร
ประดิษฐานอยู่เมืองเชียงรายจนถึงปี พ.ศ.2019 ต่อมามีการสร้างเมืองเชียงใหม่ กษัตริย์เมืองเชียงใหม่เรืองอำนาจ
จึงทูลขอต่อพระเจ้าเชียงราย ได้บรรทุกช้างมา ช้างพาหลงทางไปจนถึงเมืองลำปาง
ประดิษฐานอยู่ที่เมืองลำปางจนถึงปี พ.ศ.2022 พระเจ้าเชียงใหม่ติดตามพระแก้วมรกตกลับไปเมืองเชียงใหม่ จนถึงปี
พ.ศ.2095 พระเจ้าเชียงใหม่สวรรคต มอบราชสมบัติให้พระราชนัดดา
พระไชยเชษฐาธิราชโอรสพระเจ้าโพธิสาร กษัตริย์ลาว
ซึ่งพระราชมารดาเป็นพระราชธิดากษัตริย์เมืองเชียงใหม่ พระไชยเชษฎาธิราชครองเมืองเชียงใหม่ได้ไม่นาน คิดถึงพระราชบิดามารดา
เสด็จกลับเมืองหลวงพระบาง และนำเอาพระแก้วมรกต และพระพุทธสิหิงค์ กลับไปประเทศลาวด้วย
เมือพระโพธิสารสวรรคต
พระไชยเชษฐาธิราช ได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ลาว จนปี
พ.ศ.2107 ได้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เมืองเวียงจันทน์
พระแก้วมรกตจึงได้ประดิษฐานอยู่ที่นครเวียงจันทน์
จนถึงปี พ.ศ.2322 พระเจ้าตากสินมหาราชได้แต่งตั้งสมเด็จเจ้าพระยาพระมหากษัตริย์ศึก
เป็นแม่ทัพยกไปตีประเทศลาว ยึดเอาพระแก้วมรกต พระพุทธสิหิงค์ และพระบาง นำกลับมากรุงธนบุรี
ต่อมาเห็นว่าพระบางเป็นสมบัติของประเทศลาว จึงดำเนินการส่งคืน เมื่อ ร.1
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกขึ้นครองราชย์
ได้ประดิษฐานพระแก้วมรกตไว้ที่พระบรมมหาราชวังและประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติในปี พ.ศ.2327
จนกระทั่งปัจจุบัน
สรุป
พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ตามที่ต่างๆ ดังนี้
1. ไชยา ( ปาฏลีบุตร ) พ.ศ.
1260 1400 รวม 140 ปี
2. นครศรีธรรมราช ( ตามพรลิงค์ ) พ.ศ.1400 1432 รวม 32 ปี
3. นครวัด ( เขมร ) พ.ศ. 1432 1545 รวม 113 ปี
4. ลพบุรี ( ละโว้ ) พ.ศ. 1545 1592 รวม 47 ปี
5. อโยธยา ( อู่ทอง ) พ.ศ. 1592 1730 รวม
138 ปี
6. กำแพงเพชร พ.ศ. 1730 1900 รวม 170 ปี
7. เชียงราย พ.ศ. 1900 2019
รวม 119 ปี
8. ลำปาง พ.ศ. 2019 2022 รวม 4 ปี
9. เชียงใหม่ พ.ศ. 2022 2095 รวม 73 ปี
10. หลวงพระบาง ( ลาว ) พ.ศ. 2095 2107
รวม 12 ปี
11.เวียงจันทน์ ( ลาว ) พ.ศ. 2107 2322
รวม 215 ปี
12. ธนบุรี พ.ศ. 2322 2327 รวม 5 ปี
13. กรุงเทพฯ พ.ศ. 2327 ปัจจุบัน
----------------------------------------------